กลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis)

      ผู้นำคนสำคัญคือ ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) จิตแพทย์ชาวเวียนนา ได้ศึกษาวิเคราะห์จิต ของมนุษย์ และอธิบายว่า พลังงานจิตทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ มี 3 ลักษณะ คือ
ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud)

     1. จิตสำนึกหรือจิตรู้สำนึก (Conscious mind) หมายถึงภาวะจิตที่รู้ตัวอยู่ได้แก่ การแสดงพฤติกรรม เพื่อให้ สอดคล้องกับหลักแห่งความเป็นจริง

   2. จิตกึ่งสำนึก (Subconscious mind) หมายถึงภาวะจิตที่ระลึกถึงได้ รองศาสตราจารย์ กลมรัตน์ หล้าสุวงษ์ (2528 : 35)ได้กล่าวถึง Subconscious mind  ว่าหมายถึงส่วนของจิตใจ ที่มิได้แสดงออกเป็นพฤติกรรม ในขณะนั้น แต่ เป็นส่วนที่รู้ตัว สามารถดึงออกมใช้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ เช่น นางสาว ก. มีน้องสาวคือนางสาว ข. ซึ่งกำลังตกหลุมรัก นาย ค. แต่นางสาว ข. เกรงว่ามารดาจะทราบความจริงจึงบอกพี่สาว มิให้เล่าให้มารดาฟัง นางสาว ก. เก็บเรื่องนี้ไว้เป็น ความลับ มิได้แพร่งพรายให้ผู้ใดทราบโดยเฉพาะมารดาแต่ ในขณะเดียวกันก็ทราบอยู่ตลอดเวลาว่า นางสาว ข. รักนาย ค. ถ้าเขาต้องการเปิดเผย เขาก็จะบอกได้ทันที  ลักขณา สริวัฒน์ (2530 : 9) กล่าวถึง Subconscious mind ว่าผลมันเกิด จากการขัดแย้งกันระหว่าง พฤติกรรมภายใต้อิทธิพลจิตรู้สำนึกกับอิทธิพลของ จิตใต้สำนึกย่อมก่อให้เกิดการหลอกลวงตัวเองขึ้น ภายในบุคคล          
   3. จิตไร้สำนึกหรือจิตใต้สำนึก (Unconscious mind) หมายถึงภาวะจิตที่ไม่อยู่ในภาวะที่รู้ตัวระลึกถึงไม่ได้ กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์ (2524 : 121) กล่าวว่า จิตไร้สำนึกเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจ มีการเก็บกด (Repression) เอาไว้อาจเป็นเพราะ ถูกบังคับ หรือไม่สามารถแสดงอาการโต้ตอบได้ในขณะนั้นในที่สุดก็จะฝังแน่นเข้าไป จนเจ้าตัวลืมไปชั่ว ขณะจะแสดงออกมาในลักษณะการพลั้งเผลอ เช่น พลั้งปากเอ่ยชื่อ คนรักเก่าต่อหน้า คนรักใหม่ เป็นต้น

         คณาจารย์ภาควิชาจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง (2530 : 16) กล่าวว่าสิ่งที่มีอิทธิพล จูงใจพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตของคนเรามากที่สุดก็คือ ส่วนที่เป็นจิตใต้สำนึกและสิ่งที่คนเรามัก จะเก็บกดลงไปที่จิตใต้ สำนึก ก็คือความต้องการก้าวร้าว กับความต้องการทางเพศ ซึ่งจะมีแรงผลักดัน
นอกจากนี้ ฟรอยด์ ยังได้ศึกษาถึงโครงสร้างทางจิตพบว่าโครงสร้างทางจิตประกอบด้วย
1. อิด (Id)                    
2. อีโก้ (Ego)                    
3. ซุปเปอร์อีโก้ (Superrgo)

1. อิด (Id)    หมายถึงตัณหาหรือความต้องการพื้นฐานของมนุษย์เป็นสิ่งที่ยังไม่ได้ขัดเกลา ซึ่งทำให้ มนุษย์ทำทุกอย่างเพื่อความพึงพอใจของตนเองหรือทำตามหลักของความพอใจ (Pleasure principle)
เปรียบเหมือนสันดานดิบของ มนุษย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น สัญชาติญาณ แห่งการมีชีวิต (Life instinct) เช่น ความต้องการอาหาร ความต้องการทางเพศ ความต้องการหลีกหนีจากอันตราย กับสัญชาติญาณแห่ง ความตาย (Death instinct) เช่น ความก้าวร้าว หรือการทำอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น เป็นต้น บุคคล จะแสดงพฤติกรรมตามความพอใจ ของเขาเป็นใหญ่ ไม่คำนึงถึงค่านิยมของสังคม และ ความพอใจของ บุคคลอื่นจึงมักเป็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามครรลองของมาตรฐานในสังคม บุคคลที่มีบุคลิกภาพเช่นนี้ มักได้รับการประนามว่ามีบุคลิกภาพไม่ดี หรือไม่เหมาะสม                  

2. อีโก้ (Ego) หมายถึง ส่วนที่ควบคุมพฤติกรรมที่เกิดจากความต้องการของ Id โดยอาศัยกฏเกณฑ์ ทางสังคม และหลักแห่งความจริง (Reality principle) มาช่วยในการตัดสินใจ ไม่ใช่แสดงออกตามความพอใจของตนแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องคิดแสดงออกอย่างมีเหตุผลด้วยนั่นคือบุคคลจะแสดงพฤติกรรม โดยมีเหตุและผล ที่เหมาะสมกับกาละเทศะใน สังคม จึงเป็นบุคลิกภาพที่ได้รับการยอมรับมากในสังคม ในคนปรกติที่สามารถปรับตัวอยู่ได้ในสังคมอย่างมีความสุข ฟรอยด์ เชื่อว่าเป็นเพราะมีโครงสร้าง ส่วนนี้แข็งแรง            

3. ซุปเปอร์อีโก้ (Superego) หมายถึงมโนธรรมหรือจิตส่วนที่ได้รับการพัฒนาจากประสบการณ์ การอบรมสั่งสอน โดยอาศัยหลักของศีลธรรมจรรยา ขนบธรรมเนียมประเพณี และค่านิยมต่าง ๆ ใน สังคมนั้น Superego จะเป็นตัวบังคับ และควบคุมความคิดให้แสดงออกในลักษณะที่เป็นสมาชิกที่ดีของ สังคม โดยยึดหลักค่านิยมของสังคม (Value principle)ที่ตัดสินว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีในสังคมกล่าวคือบุคคล จะแสดงพฤติกรรมตาม ขอบเขตที่สังคมวางไว้ แต่บางครั้งอาจไม่เหมาะ สม เช่น เมื่อถูกยุงกัดเต็มแขน - ขา ก็ไม่ยอมตบยุง เพราะกลัวบาป หรือสงสารคนขอทานให้เงินเขาไปจนหมด ในขณะที่ ตนเองหิวข้าวไม่มีเงินจะ ซื้ออาหารกินก็ยอมทนหิว เป็นต้น         

       กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์ (2524 : 122 - 123) กล่าวว่าใครก็ตามที่มีบุคลิกภาพ เช่นนี้มักได้รับการยกย่อง ทั้งนี้เพราะบางครั้งพฤติกรรมที่แสดงออกนั้นอาจเกิดความไม่พอใจในตนเอง แต่เพื่อ ต้องการให้เป็นที่ ยอมรับในสังคม ดังนั้นแม้เขาแสดงพฤติกรรมบาง อย่างที่ขัดต่อ ค่านิยมของสังคม เขาจะเกิดความรู้สึกผิด (Guilt feeling or Guilty) ทันทีถ้าไม่มีการ ระบายออกเก็บกดไว้ มาก ๆ อาจระเบิดออกมากลายเป็นโรค ผิดปรกติทางจิตได้   

     ฟรอยด์ กล่าวว่าในบุคคลทั่วไปมักมีโครงสร้างทั้ง 3 ส่วนนี้แต่ส่วนที่แข็งแรงที่สุด มักเป็นอีโก้ ซึ่งทำหน้าที่คอย ประนีประนอมระหว่างอิดและซุปเปอร์อีโก้ให้แสดงออกตามความ เหมาะสมของสถานการณ์ ในขณะนั้น เช่น คอยกดอิดมิ ให้แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมออกมา เมื่อยังไม่ถึงเวลาหรือคอยดึงซุปเปอร์ อีโก้ไว้มิให้แสดงพฤติกรรมที่ดีงามจนเกินไป จนตนเอง เดือดร้อน ถ้าคนที่มีจิตผิดปรกติ เช่นเป็นโรคจิต โรคประสาท คือคนที่อีโก้แตก (Break down) ไม่สามารถคุม อิดและซุปเปอร์อีโก้ไว้ได้ มักจะมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับกาละเทศะกับเหตุผล เช่น เกิดอาการคุ้มดีคุ้มร้าย คุ้มดีคือส่วนของซุปเปอร์ อีโก้แสดงออกมา คุ้มร้ายคือส่วนของอิดแสดงออกมา ฯลฯ                      

       ดร. อารี รังสินันท์ (2530 : 15 - 16) กล่าวว่าโครงสร้างจิต 3 ระบบนี้มีส่วนสัมพันธ์กัน ถ้าทำงาน สัมพันธ์กันดีการแสดงออกหรือบุคลิกภาพก็เหมาะสมกับตน แต่ถ้าโครงสร้างทั้ง 3 ระบบ ทำหน้าที่ขัดแย้งกัน บุคคลก็จะมีพฤติกรรมหรือ บุคลิกภาพที่ไม่ราบรื่นปกติ หรือไม่เหมาะสม แนวความคิดกลุ่มนี้เน้น จิตไร้สำนึก (Unconscious mind) จิตไร้สำนึกนี้จะ รวบรวมความคิด ความต้องการ และประสบการณ์ที่ผู้เป็นเจ้าของ จิตไม่ต้องการจะจดจำ จึงเก็บกดความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านี้ไว้อยู่ในจิตส่วนนี้ และหากความคิด ความต้องการหรือ เกิดพฤติกรรมบางอย่างโดยไม่รู้ตัว          

       อนึ่ง ประสบการณ์ในชีวิตวัยเด็ก โดยเฉพาะช่วงแรกเกิดถึง 5 ขวบที่เกี่ยวกับการอบรม เลี้ยงดู ที่ได้รับ จะฝังแน่น อยู่ในจิตไร้สำนึก และอาจจะแสดงออกเมื่อถูกกระตุ้น โดยเฉพาะในวัยผู้ใหญ่               

       ฟรอยด์ บอกว่า จิตไร้สำนึกเป็นสาเหตุให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมและพฤติกรรม ที่ฝังแน่นในอดีต เป็นเหตุให้แสดง พฤติกรรมออกมาในปัจจุบันและอนาคต อนึ่ง พฤติกรรม ทั้งหลายที่แสดงออกมานั้น ท้ายที่สุดก็เพื่อตอบสนองความต้อง การทางเพศ (Sexual need) นั่นเอง

       ฟรอยด์ เน้นประสบการณ์ชีวิตในวัยเด็กมาก โดยเฉพาะในช่วงชีวิตตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 5 ขวบ ประสบการณ์ต่างๆที่เด็กได้รับในช่วงนี้ โดยเฉพาะสิ่งที่ประทับใจ วิธีการอบรม เลี้ยงดู มักจะฝังแน่นอยู่ ในจิตไร้สำนึก และจะแสดงออกมาเป็น พฤติกรรมในช่วงชีวิต ที่เป็นผู้ใหญ่ต่อมาซึ่งค้านกับความเห็นของนัก จิตวิทยากลุ่มอื่นหรือนักการศึกษา ที่เชื่อว่าไม่มีผู้ใด จดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ในช่วงชีวิตตั้งแต่ 5 ขวบลงไปจนถึงแรกเกิดได้ แต่ฟรอยด์บอกว่า สิ่งเหล่านี้มิได้หาย ไปไหนแต่กลับฝังลึกลงไป ในส่วนของจิด ที่เรียกว่า จิตไร้สำนึก (กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์. 2528 : 36)

พัฒนาการของมนุษย์ 5 ขั้น ของฟรอยด์

     ผ.. ดร. อารี รังสินันท์ (2530 : 15 - 16)    ได้กล่าวถึงการแบ่งขั้นพัฒนาการของมนุษย์ของฟรอยด์ว่าแบ่งเป็น 5 ขั้น คือ
1. ขั้นปาก (Oral Stage) อายุตั้งแต่แรกเกิด - 2 ขวบ
2. ขั้นทวารหนัก (Anal Stage) อายุ 2 - 3 ขวบ
3. ขั้นอวัยวะเพศ (Phallic Stage) อายุ 3 - 5 ขวบ
4. ขั้นแฝง (Latent Stage) อายุ 6 - 12 ขวบ
5. ขั้นวัยรุ่น (Genital Stage) อายุ 13 - 18 ขวบ

        รองศาสตราจารย์ กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์ (2528 : 37 - 39) ได้กล่าวถึงการแบ่งพัฒนาการของมนุษย์ของฟรอยด์ว่า ฟรอยด์ได้แบ่งพัฒนาการของมนุษย์ แตกต่างจากนักจิตวิทยาท่านอื่นกล่าวคือ ฟรอยด์ เชื่อว่า มนุษย์มีอวัยวะที่ไวต่อ ความรู้สึกในแต่ละช่วงชีวิตแตกต่างกัน ซึ่งฟรอยด์เรียกว่าอีโรจีนัสโซน (Erogenus zone) จึงได้แบ่งขั้นพัฒนาการตามอวัยวะที่ไวต่อความรู้สึกออกเป็น 5 ขั้น และได้กล่าวถึงแต่ละขั้นไว้ ดังนี้

   1. ขั้นปาก (Oral Stage) ขั้นนี้เด็กต้องการการตอบสนองทางปากมากที่สุดเนื่องจากปากเป็นอวัยวะที่ไวต่อความรู้สึกมากที่สุดในช่วงชีวิตนี้ ความสุขความพอใจของเด็กอยู่ที่การได้รับการตอบสนองทางปาก เช่น การดูดนม การสัมผัสสิ่งแปลกใหม่ด้วยปาก ฯลฯ ถ้าเด็กได้รับการตอบสนองเต็มที่ เมื่อโตขึ้นจะมีบุคลิกภาพที่เหมาะสมไม่พยายามใช้ปากมากเกิน ไป รู้จักพูดหรือใช้ปากได้เหมาะกับกาละเทศะ หากเด็กได้รับการขัดขวางต่อการตอบสนองทางปากในวัยนี้ เช่น การหย่านมเร็วเกินไป ถูกตีเมื่อนำของเข้าปากทำให้เด็กรู้สึกกระวนกระวายและเรียกร้องที่จะชดเชยการตอบสนองทางปากนั้น เมื่อ มีโอกาส เรียกว่าเกิดการหยุดยั้งพัฒนาการทางปาก (Oral Fixation) เมื่อมีโอกาสหรือโตเป็นผู้ใหญ่มักมีบุคลิกภาพที่ชอบใช้ ปาก เช่น ชอบนินทาว่าร้าย ชอบสูบบุหรี่ รับประทางอาหารบ่อย ๆ เกินความจำเป็น เป็นต้น

   2. ขั้นทวารหนัก (Anal Stage) ขั้นนี้ เด็กต้องการตอบสนองทางทวารหนักมากที่สุดมากกว่าทางปาก เช่น พัฒนาการขั้นแรกเด็กวัยนี้จึงไม่ชอบรับประทานมากเท่ากับการเล่น โดยเฉพาะการเล่นที่สัมผัสทางทวารหนัก ตลอดจนความสุขในการขับถ่ายซึ่งตรงกับการฝึกหัดขับถ่าย (Toilet Training) ของเด็กวัยนี้ถ้าผู้ใหญ่ที่เข้าใจจะรู้จักผ่อนปรน ค่อย ๆ ฝึกเด็กให้รู้จักขับถ่ายได้ด้วยวิธีที่นุ่มนวล การพัฒนาการขั้นนี้ก็ไม่มีปัญหาเด็กโตขึ้นจะมีบุคลิกภาพที่เหมาะสม แต่ถ้าเกิดการหยุดยั้งพัฒนาการขั้นนี้ (Anal Fixation) เนื่องจากผู้ใหญ่บังคับเด็กในการฝึกหัดขับถ่ายมากเกินไป เช่น ต้องขับถ่ายเป็นเวลา ถ้าไม่ทำตามจะถูกลงโทษจะทำให้เกิดความไม่พอใจฝังแน่นเข้าไปสู่จิตไร้สำนึกโดยไม่รู้ตัวและแสดงพฤติกรรมออกมาให้เห็นชัด 2 ลักษณะที่ตรงกันข้าม คือ อาจจะมีลักษณะใดลักษณะหนึ่งแล้วแต่ความเข้มทางบุคลิกภาพของเด็ก นั้นๆ คือ
   ก. บุคลิกภาพแบบสมบูรณ์ (Perfectionist) คือเป็นคนเจ้าระเบียบ จู้จี้ ย้ำคิดย้ำทำ กังวลมากเกินไป โดยเฉพาะเรื่องความสะอาด ลักษณะนี้มักเกิดกับเด็กที่มีบุคลิกภาพอ่อนแอ
   ข. บุคลิกภาพแบบอันธพาล (Anti social) คือเป็นคนไม่ยอมคนชอบคัดค้านค่านิยมหรือระเบียบแบบแผนที่วางไว้ ลักษณะนี้มักเกิดกับเด็กที่มีบุคลิกภาพเข้มแข็งนอกจากนี้ยังพบว่า คนที่มี Anal Fixation นี้ยังเป็นนักสะสมสิ่งของต่าง ๆ ตลอดจนมีพฤติกรรมอ่านหนังสือพิมพ์บนโถส้วมนานๆ ชอบนั่งที่ใดที่หนึ่งนาน ๆ ด้วย

   3. ขั้นอวัยวะเพศ หรือขั้นความรู้สึกทางเพศแบบแฝง (Phallic Stage)ขั้นนี้ เด็กเริ่มเกิดความรู้สึกทางเพศแต่เป็นแบบแฝง กล่าวคือมิได้หมายความว่าเด็กวัยนี้เกิดความรู้สึกทางเพศโดยตรงได้แก่ อยากมีคู่ครองแต่หมายถึงความรู้สึก ผูกพัน ที่เกิดขึ้นต่อบิดามารดาที่มีเพศตรงข้ามกับเด็ก เช่นเด็กหญิงรักและติดพ่อ หวงแหนพ่อแทนแม่ ฟรอยด์อธิบายว่าในขณะเดียวกัน เด็กจะรู้สึกอิจฉาแม่ เพราะเรียนรู้ว่า พ่อรักแม่ เกิดปมอิจฉา (Oedipus Complex) ขึ้นเห็นแม่เป็นคู่แข่งและพยายามเลียนแบบพฤติกรรมของแม่ ซึ่งเป็นแบบฉบับของสตรีเพศ ทำให้เด็กหญิง มีลักษณะเป็นหญิงเมื่อโตขึ้น ในทำนองเดียวกัน เด็กชายก็จะรักและติดแม่หวงแหนและเป็นห่วงแม่ ฟรอยด์อธิบายว่าเด็กชายจะรู้สึกอิจฉาพ่อ เพราะเรียนรู้ว่าแม่รักพ่อ เกิดปมอิจฉา (Oedipus Complax) พ่อ เห็นพ่อเป็นคู่แข่ง พยายามเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อ ซึ่งเป็นแบบฉบับของบุรุษเพศ ทำให้เด็กชายมีลักษณะเป็นชายอย่างสมบูรณ์เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้น Oedipus Complax จึงเป็นสิ่งที่ดีเพราะจะส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการได้เหมาะสมกับเพศของเขา ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ เป็นการพัฒนาการเป็นไปตามลำดับขั้นอย่างดียิ่งแต่ถ้าเกิดการหยุดยั้งพัฒนาการของ ขั้นนี้ (Phallic Fixation) จะเกิดพฤติกรรมดังนี้ เด็กหญิงขณะที่เลียนแบบแม่ ซึ่งเป็นแบบฉบับถ้าแม่เป็นแบบฉบับไม่ดี เด็กไม่ศรัทธาในที่สุดเด็กก็จะหันไปเลียน แบบพ่อ เนื่องจากมีความนิยมศรัทธาอยู่เป็นทุนเดิมแล้วพฤติกรรมที่ปรากฏก็คือ เด็กผู้หญิงเป็นลักเพศ (Lesbian) คือมี พฤติกรรมและความรู้สึกเยี่ยงชายในทำนองเดียวกัน เด็กชายขณะที่เลียนแบบพ่อซึ่งเป็นแบบฉบับ ถ้าพ่อเป็นแบบฉบับไม่ดี เด็กไม่ศรัทธาในที่สุดเด็กก็จะหันไปเลียนแบบแม่โดยตรง เพราะรักและศรัทธาแม่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วพฤติกรรมที่ปรากฏก็คือ เด็กชายเป็นลักเพศ (Homosexual)
   4. ขั้นแฝง (Latent Stage) เป็นระยะก่อนที่เด็กจะเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัยรุ่น กิติกร มีทรัพย์ (2530 : 70 - 71) กล่าวถึงเด็กวัยรุ่นซ่อนเร้นหรือลาเทนซี่ (Latency) ว่า การเติบโตทางกาย ค่อย ๆ ช้าลง แต่การเติบโตทางจิตใจ (Memtal awarenss) ไปเร็วมาก เด็ก ๆ มักถูกมองว่า "แสนรู้" หรือ "แก่แดด" เด็กจะรู้จักพิพากษ์วิจารณ์สนใจไปในทางค้นหา ค้น คว้าต่าง ๆ สนใจสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่มิได้ขาดเด็กบางคนอาจพูดในสิ่งที่แหลมคมที่ทำให้ผู้ใหญ่คิดและน่าทึ่ง หรือพูดอะไรเชยๆ นักจิตวิทยาชาวสวีเดนผู้หนึ่ง ชื่อ เดวิด บียอร์กลุนด์ เป็นศาสตราจารย์ วิชาจิตวิทยามหาวิทยาลัยฟลอริดา ใน อเมริกากล่าวว่า เมื่อเด็กวัย Latency มีความคิดใคร่ครวญ ผู้ใหญ่ ไม่ควรละเลย ดูด้วยที่จะให้เด็กได้คิดเรื่องหนัก ๆ บ้างตามความสนใจของเขาตั้งแต่การวางแผนงานบ้าน การบ้าน หรือสร้างวินัยในบ้านให้เขาได้มีโอกาส รับรู้หรือมีส่วนร่วมกับ ปัญหารายรับ - รายจ่ายในครัวเรือน ปัญหาคณิตศาสตร์ ง่าย ๆ หรือปัญหาประสบการณ์ ชีวิตบางประการซึ่งผู้ใหญ่เคยคิดว่าเขาไม่รู้ หรือไม่ควรรู้

   5. ขั้นวัยรุ่น (Genital Stage) เด็กหญิงจะเริ่มสนใจเด็กชายและเด็กชายจะเริ่มสนใจเด็กหญิง เป็นระยะที่เด็ก จะมีความสัมพันธ์ระหว่างเพศอย่างแท้จริงพฤติกรรมทางเพศของบุคคลในวัยนี้ จึงมีลักษณะที่บ่งถึงวุฒิภาวะทาง อารมณ์หรือความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างเต็มที่พัฒนาการทางเพศที่เกิดขึ้นในระยะนี้ เรียกว่า ขั้นวุฒิภาวะทางเพศอันมิได้หมายถึงอวัยวะเพศอย่างเดียวรวมถึงพฤติกรรมที่แสดงถึงวุฒิภาวะทางด้าน อารมณ์และสติปัญญาเด็กชายจะเปลี่ยนจากการหลงรักแม่ตนเองไปและเด็กหญิงก็จะหันจากหลงรักพ่อไปรักเพศ ชายทั่วไป


adf.ly - shorten links and earn money!

แรงดึงดูดของผู้ชาย 10 ประการ

(1) ความมั่นใจในตัวเอง

จริงอยู่ถ้าหน้าตาหล่อเหลา ความมั่นใจในตัว เองย่อมเพิ่มมากเป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่หล่อละ จะมั่นใจกับเขาไม่ได้เชียว หรือ ถ้าคุณเป็นผู้ชาย คุณต้องบอกกับตัวเองเสมอว่า คุณก็ดูดี มีความมั่น ใจในตัวเองสูง ทำได้ทุกอย่างที่คนอื่นทำกัน และต้องพิสูจน์ว่าคุณทำ ได้จริงๆไม่ใช่ดีแต่ปาก พอเอาเข้าจริงกับไม่ได้เรื่อง การสร้างความมั่นใจ ในตัวเองมีหลายอย่าง เช่นหมั่นหาความรู้เสริมพิเศษให้ตัวเอง หัดยิ้มกับ ตัวเองในกระจก ทำอะไรหลายๆอย่างให้สำเร็จได้จริงๆเป็นรูปเป็นร่าง

(2) แรงดึงดูดทางเพศ

ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Sex Appeal ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความหล่อหรอกนะ มีผู้ชายเยอะแยะที่หน้าตาหล่อ แต่ไม่มีแรงดึงดูดที่ว่านี้เลยมีถมไป แรงดึงดูดทางเพศไม่ได้หมายถึงคุณเป็นคนลามก แต่หมายความว่าคุณเป็นคนสง่างาม จนคนรู้สึกว่าหาก อยู่ใกล้คุณคงเร้าร้อนทนไม่ไหว อะไรทำนองเนี่ย หรือที่วัยรุ่นเรียกว่าพวก ไม่หล่อแต่เร้าใจ

(3) ควรมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

คือแม้ว่าคุณจะดูไม่ดีตราบที่คุณอยาก มีคู่ควงเป็นหญิงสาวสวยแล้วละก็ คุณต้องสร้างเอกลักษณ์ของคุณมาให้ โดดเด่นจงได้ อาจจะเป็นเรื่องของเสื้อผ้า อาจจะเป็นเรื่องของน้ำหอม หรืออาจเป็นเรื่องของการเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ที่ใครเขา ได้ยินเสียงหัวเราะจะนึกถึงคุณขึ้นมาทันที ทำอย่างไรที่จะยกระดับให้ตัว เองดูมีเอกลักษณะเฉพาะตัว แม้ว่าคุณจะใบหน้าตี๋ก็ตาม เอานาตี๋หล่อก็มีเยอะแยะไป

(4) ต้องมีความเป็นแมน

ความเป็นแมนนี่ดูเหมือนง่าย แต่พอทำจริงๆ มันยากเหลือเกิน ก่อนอื่นความเป็นแมนไม่ได้หมายความว่า คุณต้อง มีขนที่หน้าอกที่ดูเซ็กซี่ ไม่ได้หมายความว่าคุณมีกล้ามเป็นมัดๆ แต่ความ เป็นแมนหมายถึง คุณต้องมีนิสัยเป็นผู้ชาย ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิง ไม่ใช่คนคิดจุกจิก น่าเบื่อ น่ารำคาญ พูดง่ายคือ มีความเป็นผู้นำ อยู่มากในตัวคุณ ความเป็นแมนสร้างได้ไม่ยากนักหรอก เพียงแต่ต้องใช้เวลาและความ อดทนปรับปรุงตัวเองพูดจาเป็นผู้ใหญ่ พยายามสร้างขึ้นมาจากธรรมชาติ ที่อยู่ภายใน ถ้าเปรียบกับนักแสดง ก็เรียกว่าอินเข้าไปในบทละคร ทำนองนั้น

(5) พยายามดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย

ฟังดูเข้าที แต่พอทำ จริงๆก็ยากอีกนั่นแหละ ถ้าไม่พยายามหรือมองแต่ว่ามันมีความยาก เกินกำลังแต่แรกก็เลิกเหอะ ความจริงการทำชีวิตให้เรียบง่ายได้ คุณ จะดูเท่และเก๋มาก คุณสังเกตดูผู้คนรอบๆตัวคุณดูสิ ทุกวันนี้มีกี่ชีวิตที่ เรียบง่ายบ้าง พยายามกินให้ง่าย นอนก็ง่าย แล้วคุณจะดูดีขึ้นทันที ใครด่าหรือนินทาคุณ คุณก็เฉยๆ เสีย

(6) สลัดความเหงาให้เป็น

มีผู้ชายขี้เหงามากมายบนโลก ความเหงา ทำให้จิตใจระส่ำไม่เป็นปกติร้อนรน ลุกลี้ลุกลนบอกไม่ถูก ผู้ชายต้องเข้มแข็งรับได้ทุกสภาพ ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะโน้มนำไปในทางทุกข์หรือสุข ก็ตาม บางคนทุกข์ก็เสียใจ ฟูมฟาย ตีโพยตีพาย พอสุขก็ดีใจ กระโดดโลดเต้นจนเกินเหตุ ทำให้ระงับอารมณ์ไม่อยู่ คนรู้ไส้รู้พุงหมดว่าคุณกำลัง เป็นอะไร มีบุคลิกที่แท้จริงเป็นแบบไหน จะต้องรู้จักการปล่อยวาง แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทีละเปลาะ

(7) เป็นคนรักงาน

ไม่ใช่บ้างาน คือทำงานเป็นระเบียบและมีระบบ ในการวางแผนจัดการงานที่ดี สะสางงานไปทีละชิ้น มีแผนการณ์ล่วงหน้า รวมทั้งสนุกกับการทำงานอย่างแท้จริง ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ หมายความ ว่าคุณต้องแบ่งเวลาเป็น เวลางานเป็นเวลางาน ไม่เล่นหยอกล้อ นอกเวลางานก็อย่าคิดในเรื่องงานอีก

(8) ต้องสร้างชีวิตให้โรแมนติก

ชีวิตที่โรแมนติกไม่ได้หมายความว่า มีแต่ดอกกุหลาบและคำหวานตลอดเวลา เพราะของพวกนี้ถ้ามีให้กัน มากๆ ดูเหมือนกลายเป็นเสแสร้งไปทันที ผู้หญิงมักจะเคลิบเคลิ้ม ปลาบปลื้มกับคำถามที่ผู้ชายแสดงความห่วงใยเสมอ อาการโรแมนติก ไม่ใช่การนั่งอยู่หน้าแสงเทียน ทำตาหวานซึ้งเข้าหากัน แค่นึกถึงเธออย่าง จริงใจ น้ำเสียง แววตา และการกระทำต่างหากที่จะเป็นปัจจัยบอกว่าคุณ เป็นคนโรแมนติกหรือไม่

(9) การสร้างอารมณ์ทางเพศในบางขณะ

 จะช่วยให้ผู้หญิงมองคุณเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่ง ซึ่งไม่ได้หมายความว่า คุณต้องไปข่มขืนเธอ หรือขืนใจ หรือลวนลามเธอ อย่าไปทำอย่านั้นเด็ดขาด เพราะหล่อนจะขาด ความนับถือศรัทธาในตัวคุณทันที คุณต้องใช้สายตา วาจา และการแตะ กายเบาๆ โลมเล้าเธอแค่มองก็รู้สึกสะท้าน ไม่ต้องประกบริมฝีปาก แบบเมาท์ทูเมาท์หรอก

(10) คุณต้องสามารถสร้างอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมาได้โดยธรรมชาติ

ธรรมชาติผู้หญิงทุกคนจะมีความอ่อนไหวระทวยระทดง่ายกว่าผู้ชาย ด้วยเหตุ แห่งสรีระ หรือ จิตใจก็แล้วแต่ แต่ถ้าคุณอยากมีเสน่ห์มัดหัวใจเจ้าหล่อน ละก็ ต้องจับอารมณ์ของเธอให้อยู่ เพราะอารมณ์ของเธอเปรียบกราฟ ตรีโกณมิติ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสลับขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา คุณ พยายามอ่านใจเธอให้ออก ซึ่งเท่ากับว่าคุณได้กำชัยชนะไว้ในมือแล้ว .....หมายความว่าคุณต้องมีความไวในอารมณ์ร่วมเร็วกว่าเจ้าหล่อน ถ้าจะให้ดีต้องทำเป็นแนบเนียน และไม่ให้เธอรู้ตัวว่าคุณถือไพ่เหนือกว่า

เลือกที่จะมีความสุข

ถ้ารู้จักดึงศักยภาพตัวเองมาใช้อย่างเต็มที่ มนุษย์เราก็จะสามารถทำอะไรได้มากมาย

คำพูดแบบนี้หลายคนได้ยินได้ฟังอยู่บ่อยครั้ง แต่มีน้อยคนที่สามารถเชื่อมโยงให้เห็นเป็นรูปธรรม นายแพทย์เทอดศักดิ์ เดชคง กลุ่มที่ปรึกษา กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข สามารถพูดคุยเรื่องนี้และยกตัวอย่างได้ชัดเจน




ชีวิตบางแง่มุมของเขาน่าสนใจ เป็นนักเขียนที่มีผลงานหนังสือกว่า 20 เล่ม เล่มล่าสุด ตัดสินใจเลือกที่จะมีความสุข และช่วยทำเอกสารหลายชิ้นเพื่อใช้ในกระบวนการอบรมให้กรมสุขภาพจิต
เขามีบทบาทในการบรรยายและจัดคอร์สอบรมในการให้คำปรึกษาในหน้าที่การงานของกรมสุขภาพจิตและเป็นอาจารย์พิเศษทั้งมหาวิทยาลัยหัวเฉียวและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงใช้ศาสตร์ตะวันออกพวกไทเก๊ก ชี่กง และรำกระบอง นำมาปรับใช้กับผู้ป่วยหลายโรค ปรากฏว่า ผู้ป่วยหลายคนหายป่วยเร็วขึ้น นอกจากนี้เขายังต้องรักษาผู้ป่วยทุกวันอังคารที่โรงพยาบาลยุวประสาทและจัดรายการวิทยุชุมชนคลื่นเอฟเอ็ม 89.25 เมกะเฮิรตซ์ ทุกวันพุธ เวลา ช่วงเวลา 14.30 น.
เมื่อสิบปีที่แล้ว งานของผมต้องดูแลผู้สูงอายุ ก็เลยต้องค้นคว้าเรื่องการออกกำลังกาย ก็เริ่มไปเรียนไทเก๊กปีกว่าๆ เพื่อมาสอนผู้สูงอายุ แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่ผมเรียน ทำให้เรามีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องการทำงานและการใช้สมอง แล้วได้ฝึกชี่กงเพื่อนำมาปรับใช้อีก ผู้ป่วยทางกายที่เกิดจากใจอย่างพวก ไมเกรน หรือความดันสูง ภูมิแพ้หรือความเครียด แม้กระทั่งผู้ติดเชื้อ เรามีงานวิจัยเรื่องนี้ เมื่อมีการฝึกพวกนี้ทำให้สุขภาพดีขึ้น
ความสนใจเรื่องศาสตร์ตะวันออก ทำให้คุณหมอเทอดศักดิ์เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับคนไข้และตัวเอง และทำให้เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งไทเก๊ก ชี่กงและรำกระบอง
เช้าๆ ผมก็ต้องฝึกไทเก๊ก กระบอง ชี่กง แล้วก็วิ่ง เราก็เลือกเฉพาะบางท่าบางลักษณะที่เหมาะกับเรา อย่างกระบองที่ใช้ 51 ท่ารวดเร็วมาก อาจฝึกไทเก๊กก็แค่สิบนาที ชี่กงก็ประมาณ 10-15 นาที เราก็ทำเพราะรู้สึกว่าได้ประโยชน์ ผมฝึกพวกนี้มานานกว่า 10 ปี ซึ่งการฝึกพวกนี้ไม่ใช่แค่นึกถึงข้อดีอย่างเดียว ยังมีข้อเสียด้วย ถ้าฝึกผิดแนวทางหรือฝึกมากไป ก็เกิดโทษได้ เคยมีบางคนฝึกชี่กงมากไป ทำให้มีประจุไฟฟ้าทั้งตัว สัมผัสกับวัตถุได้ยากลำบาก หรือบางคนอาจนอนไม่หลับ
คุณหมอเทอดศักดิ์บอกถึงข้อเสียบางอย่างในการฝึกฝนชี่กง ซึ่งเมื่อก่อนเขายังมีเวลาเปิดคอร์สอบรมให้คนทั่วไป แต่ปัจจุบันสอนเฉพาะผู้ป่วยที่เขาดูแล เนื่องจากมีเวลาไม่มากนัก เขาบอกว่า คนที่มีอาการวิตกกังวล ใจเต้น ใจสั่น เหงื่อออก ต้องฝึกไทเก๊กแบบลูกบอลไทเก๊ก ตัวเขาเองเคยฝึกฝนแล้วพบว่า วิธีการนี้ดีพอๆ กับการใช้ยา
นอกจากการฝึกฝนทางกายแล้ว สมาธิแนวพุทธก็เป็นสิ่งสำคัญ คุณหมอให้เวลากับเรื่องพวกนี้เต็มที่ เขาอธิบายว่า ไม่ว่าศาสตร์ใดก็ตาม ไม่อาจตอบเป้าหมายของชีวิตได้ อย่างไทเก๊ก โยคะ ชี่กง ก็แค่ตอบคำถามขั้นพื้นฐานว่า เราจะทำให้ร่างกายมีประสิทธิภาพได้อย่างไร ถ้าถามว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไรศาสตร์พวกนี้ยังตอบคำถามไม่ได้ ต้องใช้พุทธศาสนา
การประยุกต์ทั้งเรื่องศาสตร์ตะวันออกและพุทธศาสนาในเบื้องต้น คุณหมอเทอดศักดิ์บอกว่า มีส่วนทำให้คนไข้ใช้ยาน้อยลง และพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น แต่ถ้ามองในมิติลึกลงไปต้องเรียนรู้แนวพุทธศาสนา
ผมสนใจพุทธศาสนาตั้งแต่เด็กเพราะคุณพ่อ แต่ไม่มีใครสอน เราก็ศึกษาเรื่องพวกนี้เอง ถ้ามีเวลาก็จะไปปฏิบัติที่วัดบนเขาในจังหวัดหนองคาย การฝึกสมาธิทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ตัวเอง ต้องเข้าใจว่า สาเหตุที่คนเรามีศักยภาพจำกัดก็เพราะตัวเราเอง ทั้งๆ ที่คนเรามีศักยภาพมากมาย ยกตัวอย่าง บางคนมองโลกในแง่ร้าย บางคนทำงานไปเรื่อยๆ โดยไม่ตั้งเป้าหมายในชีวิต ไม่ได้ใช้ความสามารถที่มีอยู่ ผมก็เรียนรู้จากตรงนี้ ผมจะรู้ว่าวันนี้ผมต้องทำอะไรบ้าง ผมจะมีเป้าหมายเสมอ
หลักการง่ายๆ ของคุณหมอก็คือ ถ้าคนเราไม่มีเป้าหมายก็ยากจะพบกับความสุข เพราะคนเราจะไม่มีความสุขกับเหตุบังเอิญได้ ในระดับคนทั่วไปขอแนะว่า ควรตั้งเป้าหมายเชิงปริมาณให้ได้ก่อน เช่น ตั้งเป้าว่าจะอ่านหนังสือวันละ 50 หน้า ก็ต้องอ่านให้ได้ 51 หน้า เพื่อให้เกิดความเคยชินว่า เราทำได้มากกว่าที่ตั้งใจ โดยเฉพาะคนเบื่องาน คือ ตื่นมาแล้วไม่อยากไปทำงาน เพราะไม่มีแรงจูงใจในชีวิต เป็นโรคเรื้อรังของคนยุคปัจจุบัน
คุณหมอแนะว่า ควรปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เพราะอยู่ที่วิถีคิด อย่างคุณรอรถเมล์ คุณมีเป้าหมายอย่างไร ถ้าถามคนที่รอรถเมล์ เขาจะตอบว่า อยากให้รถเมล์มาเร็วๆ และมีที่นั่งว่าง
นี่คือความคาดหวังที่ผิด เพราะเป็นสิ่งคาดหวังที่ควบคุมไม่ได้ ใครก็ตามที่คาดหวังในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ก็มักจะผิดหวัง คุณหมอแนะว่า ควรตั้งเป้าหมายว่าถ้ารถเมล์มาคุณจะปักหลักอยู่ตรงไหน จะกระโดดขึ้นให้ทันอย่างไร ส่วนเรื่องมาเร็วหรือช้าไม่ใช่เป้าหมาย
อีกกรณีก็คือ เป้าหมายต้องสอดคล้องกับชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างคนที่เข็นเปลคนไข้ เราพบว่า คนที่มีความทุกข์ เพราะหวังว่าวันนี้เปลจะว่าง ส่วนคนที่มีความสุขจะตั้งเป้าหมายว่า วันนี้ฉันจะเข็นได้กี่ราย คนที่ตั้งเป้าหมายได้สอดคล้องกับงาน ก็จะมีความสุข
เขาบอกว่า การอบรมเพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาการของมนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งของงานเขา เราจำเป็นต้องย่อยสลายวิธีคิดให้เป็นกระบวนการที่เรียนรู้ได้ เราต้องบอกว่าแต่ละอย่างมีการเรียนรู้และทดลองได้อย่างไร หรือมีเป้าหมายอย่างไร
เวลามีคนถามว่า พนักงานไม่มีความสุขเพราะหาลูกค้าไม่ได้ เขาจะย้อนถามว่า แล้วมีใครบ้างที่มีความสุข คนเหล่านั้นคือคำตอบสำหรับเรา เหมือนคนเข็นเปลบอกว่า วันนี้เขาจะเข็นเปลได้สักแปดราย นี่คือคำตอบ พอเราได้คำตอบ เราก็เอาสิ่งเหล่านี้นำมาเป็นกระบวนการ ผมชอบคำพูดของเชลยศึกสงครามคนหนึ่ง เขาบอกว่าคนเราเลือกเหตุการณ์ไม่ได้ แต่เลือกความรู้สึกต่อเหตุการณ์นั้นได้ เพราะฉะนั้นเราต้องตัดสินใจว่า สิ่งใดเลือกได้ อย่างการรอรถเมล์ จะรออย่างไร
เมื่อถามถึงการนำธรรมะมาใช้กับชีวิต คุณหมอบอกว่า ปัญหาอย่างหนึ่งคือ คนมักจะใช้ธรรมะผิดเรื่อง มันก็เลยเกิดปัญหา ยกตัวอย่างการใช้อุเบกขาในสถานการณ์ที่ต้องใช้ความเมตตา อย่างมีพนักงานคนหนึ่งมาขอขึ้นเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษ หัวหน้าจะใช้เมตตาหรืออุเบกขา ถ้าใช้อุเบกขาก็คือ นั่งฟังเฉยๆ ไม่สนองอะไร หรือตอบสนองอย่างมีความเมตตา กรณีแบบนี้ หัวหน้าอาจแนะว่า คุณลองทำงานแบบนั้นแบบนี้ แล้วจะสนับสนุนเต็มที่ ในกรณีนี้ต้องมีความกรุณาด้วย ไม่ใช่วางเฉย
อีกกรณีที่เขายกตัวอย่างคือ ปู่ย่ามักจะเลี้ยงลูกหลานดีเกินไป ถ้ารู้จักสอดแทรกให้พวกเขารู้จักความเพียรพยายามในการดำเนินชีวิต ลูกหลานก็ได้เรียนรู้มุมอื่นๆ บ้าง
เพราะฉะนั้นคุณธรรมเป็นเรื่องที่ดี แต่ถามว่าจะใช้อย่างไร แล้วผลเป็นอย่างไร ถ้าผลไม่ได้ดั่งใจ ก็อย่าไปโทษว่า คนอื่นผิดหรือคุณธรรมไม่สูง
อย่างเรื่องการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ ก็มีคำอธิบาย คุณหมอยื่นช้อนมาให้ แล้วถามว่า คุณลองบิดเป็นเกลียวได้ไหม เราตอบว่า ได้ ถ้าช้อนไม่แข็งมาก เขาบอกว่า ตัวเขาเองลองบิดไปบิดมา ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
สิ่งที่ผมให้ดูตรงนี้ก็คือ มนุษย์เรามีศักยภาพเยอะ เราสามารถบิดช้อนให้เป็นเกลียวได้ โดยเหตุผลสองประการคือ ข้อแรกต้องรู้ว่าทำอย่างไร (Know How) และข้อสอง ต้องเชื่อว่า Know How นี้เป็นไปได้ แต่ส่วนใหญ่มีข้อแรกไม่มีข้อสอง หรือบางคนอาจขาดทั้งสองอย่าง เราต้องเข้าใจว่า ประสิทธิภาพของเราเพิ่มได้โดยสองข้อนี้ ต้องนำศรัทธามาใช้ให้เกิดประโยชน์
คุณหมอยกตัวอย่างว่า เคยมีการทดลองในคนไข้ ถ้าเขามีใจเชื่อว่าจะหายป่วย โรคของเขาจะหายได้เร็วหรือช้าปรากฏว่า สามารถหายป่วยได้เร็วกว่าคนที่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ ในกระบวนการทำงานของโรคภัยไข้เจ็บ เป็นไปได้ที่เราจะใช้ศักยภาพที่มีอยู่ แต่ต้องตัดสิ่งที่รบกวนศักยภาพของเราคือ 1.ความคิด ส่วนใหญ่ชอบคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ 2.ความเครียดอารมณ์ด้านลบ เราอาจตัดสินใจผิดๆ ในตอนนั้น ยกตัวอย่างบางคนถูกยึดรถ ก็อยากจะกระโดดตึกตาย ทั้งๆ ที่มีบ้านเหลืออยู่ และ 3. สภาวะจิตใจ หมายถึงภาครวมของตัวเรา จากพื้นฐานเดิมและสิ่งที่มากระทบ
ส่วนวิธีการที่จะทำบางอย่างที่หลายคนเห็นว่าทำไม่ได้ คุณหมอบอกว่า บางอย่างเกิดจากการเรียนรู้โดยทฤษฎีหรือข้อมูล บางอย่างก็เข้าใจได้ด้วยตัวเองโดยไม่มีคำอธิบาย อย่างเรื่องการบิดช้อนให้เป็นเกลียว ต้องเชื่อก่อนว่า เราทำได้
ผมก็เคยถามคนที่ทำได้ว่าทำอย่างไร เขาบอกว่าต้องสร้างความเชื่อ ระหว่างนั้นเขาจับมันและลูบจนช้อนร้อน เพราะคนมีสมาธิ มือจะร้อน เขาก็ทำได้ แต่ประเด็นสำคัญก็คือ การบิดช้อนเป็นเรื่องเล็ก ที่สำคัญเราต้องเชื่อว่า จะผ่านอุปสรรคในชีวิตไปได้ เราต้องเรียนรู้ Know How ผมเอาเรื่องพวกนี้ไปประยุกต์ใช้ สร้างกระบวนการเพื่อให้คนที่มีปัญหาผ่านอุปสรรคไปได้
ยกตัวอย่างมีหน่วยงานหนึ่งกำลังจะปลดพนักงาน 30 คน แต่ละคนจึงรู้สึกแย่ ถ้าสองปีไม่ได้ขึ้นเงินเดือนอาจต้องถูกปลด แต่ผมให้มองว่านี่คือโอกาส แล้วฝึกกระบวนการต่างๆ ให้ เช่น ตั้งเป้าหมายในชีวิต แล้วให้มองเหตุการณ์ในแง่บวก ให้เรียนรู้เข้าใจด้วยตัวเอง ใช้เวลา 1 เดือนครึ่ง เราพบว่า มีจำนวนมากกว่าครึ่งมองว่าการออกจากตำแหน่งคราวนี้เป็นเรื่องที่ดี มีผู้หญิงคนหนึ่งเล่าให้ผมว่าเครียดมาก แต่วันหนึ่งได้ไปเดินเทเวศร์เห็นแม่ค้าหาบเร่คนหนึ่งมีลูกสาวคอยช่วยขายของ ทั้งๆ ที่ขายไม่ดีนัก แต่เธอก็ยังรู้สึกว่า ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดี ชีวิตก็เป็นเช่นนั้นเอง เธอซื้อของกับแม่ค้าคนนั้น แล้วขอกอดลูกสาวแม่ค้าหนึ่งครั้ง เพราะทำให้เธอเข้าใจชีวิตคุณหมอ ยกตัวอย่างคนที่สามารถตัดสิ่งที่รบกวนในชีวิตได้ แล้วคุยว่า
แม้กระทั่ง เรื่องความเครียดก็ต้องเรียนรู้ ต้องเรียนรู้ที่จะสังเกตตัวเอง อาจใช้วิธีการจดบันทึก แล้วจะรู้ว่า ตัวเรามีรูปแบบการทำอะไรซ้ำๆ ที่ทำให้ตัวเองลำบาก
ผมให้คนไข้หญิงคนหนึ่งที่มักจะทะเลาะกับสามีเป็นประจำ เพราะเวลาจะออกไปไหน มักจะตกลงกันไม่ได้ ผมบอกให้เธอลองเปลี่ยนความคิดใหม่ บางครั้งอาจบอกสามีว่า เห็นด้วยทำแบบที่เธอบอกแล้วดูว่า จะเกิดอะไรขึ้น เธอย้อนว่า ทำแบบนี้ก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่เธอก็ลองปฏิบัติตามวิธีของคุณหมอ วันหยุดที่ผ่านมา เธอชวนสามีไปดูต้นไม้ที่สวนจตุจักร สามีบอกว่า "ไม่ไป จะไปมีนบุรี" เธอก็เลยบอกสามีว่า "ไปมีนบุรีก็ได้ ดีเหมือนกัน" ปรากฏว่า สามีตกใจมาก ทำไมภรรยาเปลี่ยนไป และคุณหมอบอกว่าให้สังเกตสามีว่ามีปฏิกิริยาอย่างไร สุดท้ายสามีไม่กลับมาในห้องนั้น แต่ให้ลูกสาวมาบอกว่า "พ่อบอกว่า เสาร์นี้จะไปจตุจักรนะ” "
อย่างไรก็ตาม คุณหมอย้ำอีกว่า การปฏิบัติต่างจากเดิม ไม่ได้หมายความว่าจะได้ผลเสมอไป แต่อยากจะบอกว่า ชีวิตยังมีทางเลือกอีกหลายอย่าง

ศิลปะของการครองรักครองเรือน

เขาว่ากันไว้ว่า "แรกรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน ครั้นอยู่นานไป น้ำอ้อยก็กร่อยขม" แม้ว่าจะเป็นประโยคที่กล่าวต่อเนื่องมาจากโบราณกาลแล้ว แต่ก็ดูยังทันสมัยอยู่เสมอในปัจจุบัน หลายต่อหลายคู่แรกรักกันใหม่ๆ ก็จี๋จ๋าหวานซาบซึ้งกัน มองตากันทั้งวัน จับมือกันทั้งวัน ไปไหนไปด้วยกัน ไม่ยอมแยกห่างจากกันแม้แต่วินาทีเดียว... แบบนั้น มันก็เว่อร์ไปหน่อยจริงไหม และคู่รักหวานแหววแบบนี้ คนเขาก็มักจะนินทาลับหลังว่า ดูไปเถิด ไม่นานก็เลิกกัน รับรองว่าก้นหม้อข้าวยังไม่ทันดำเลย คิดว่าคนที่พูดแบบนั้น คงจะพูดด้วยความอิจฉาริษยา แต่ครั้นสังเกตไปนานๆ เข้า ก็ดันเป็นจริงแบบนั้นเสียด้วยซิ!!




ตรงกันข้าม หลายคู่ที่เริ่มต้นแบบราบเรียบธรรมดา ไม่หวือหวาอะไร แต่พยายามเข้าใจกัน ปรับตัวเข้าหากัน ด้วยความรัก ความผูกพัน ความรักของเขาและเธอกลับหวานแหววเพิ่มขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านไป และกลับมีชีวิตคู่ที่แสนหวาน น่ารัก เป็นที่ชื่นชมของคนรอบข้าง ...นั่นเป็นศิลปะของการครองรักครองเรือนมิใช่หรือ ??? อย่างน้อยบางเรื่องบางราวของคนในยุคโบราณก็น่าจะนำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตคู่ได้ เพราะการจะมีคู่ครองสักคน ต้องอาศัยทั้งความอดทน อดกลั้น และอดออม คนโบราณมักจะสอนว่า ขอให้ถือไม้เท้ายอดทอง กระบอกยอดเพ็ชร ขอให้ครองคู่กันไปตราบนานเท่านาน ขอให้มองเห็นความดีของกันและกัน ขอให้ใช้ความดีพิชิตใจของแต่ละฝ่าย ขอให้ออมชอมถนอมน้ำใจกันและกัน อะไรหนักนิดเบาหน่อยก็ขอให้อภัยกัน เคยเขียนให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันเสมอๆ ว่า ชีวิตคู่นั้น จะหวังให้คนอีกคนหนึ่งมาได้ดังใจของเรา เป็นไปไม่ได้ การจะเปลี่ยนนิสัยของคนอีกคนหนึ่งให้มาเป็นแบบที่ตนเองต้องการ ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าใครคิดจะมีคู่สักคน แล้วหวังว่าเขาหรือเธอจะเป็นไปในรูปแบบที่ตัวเองต้องการเพราะความรัก ขอบอกว่า คิดผิดอย่างมหันต์ เพราะยากพอๆ กับให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกนั่นแหละ และใครที่คิดแบบนี้ ก็มักจะพบความผิดหวังในชีวิตคู่เป็นที่แน่นอน ถ้าจะให้ชีวิตคู่มีความสุข ขอบอกเลยว่า คำต่อไปนี้มีความหมายมากในการมีชีวิตคู่ที่สุขสม... เข้าใจกัน ไว้ใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เคารพนับถือซึ่งกันและกัน และให้อภัยกัน เป็นคำที่ยังคงทันสมัยเสมอ แม้กาลเวลาจะผ่านไป เพราะถ้าคุณทำได้...คุณจะไม่ผิดหวังในบุคคลที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของคุณเลย ชาย...หญิงนั้น คิดต่างกัน อุปนิสัยต่างกันในทุกเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรัก หรือกามารมณ์ ถ้าไม่พยายามจะเข้าใจกันแล้ว ชีวิตคู่มักจะพังทลายไปทุกที แต่ถ้าพยายามเข้าใจกันและปรับตัวเข้าหากัน บางคนที่แต่งงานกันเพราะความกตัญญูต่อบุพการี อาจจะมีความสุขมากกว่าคนที่บอกว่าแต่งงานเพราะรักกัน แต่หลังจากนั้นไม่พยายามจะเข้าใจกันมากมายนัก ความรักนั้น ต้องหมั่นเติมทุกวัน และทุกเวลาที่มีโอกาส ไม่อย่างนั้นความรักที่มีอยู่อาจจะแห้งเหือดหายไปได้ในที่สุด ไม่อย่างนั้นจะมีคำพูดว่า... รักวันเติมวันกันหรือ เตือนตัวเองไว้เสมอว่า วันนี้ได้เติมความรักให้แก่กันหรือยัง ไม่ว่าจะเป็นวาจา หรือการกระทำ แน่นอน กามารมณ์ที่เป็นพื้นฐานของชีวิตคู่ ก็ต้องได้รับการปรุงรสเช่นกัน เหมือนกับการรับประทานอาหารนั่นแหละ บางวันก็อยากจะทานอาหารทะเล บางวันอยากกินเนื้อย่าง บางวันแค่ข้าวผัดสักจานก็พอ เซ็กซ์หรือกามารมณ์ในชีวิตคู่ ก็ต้องได้รับการปรุงแต่งรสให้ใหม่เสมอ ไม่อย่างนั้น นานไปก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่เชื่อคุณลองไปรับประทานอาหารอะไรสักอย่างหนึ่งทุกวันซิครับ แล้วดูว่าคุณทานได้นานเท่าใด เคล็ดลับของการเติมรัก...ปรุงรส จึงเป็นเคล็ดลับในการครองชีวิตคู่ และสิ่งที่ต้องการเป็นอันดับแรกในชีวิตก็คือ... ทำอย่างไร ให้ชีวิตคู่ยืนยาวและเป็นสุขไม่ใช่หรือ
การมีชีวิตคู่ด้วยความรัก จึงเป็นปฐมบทของการใช้ชีวิตร่วมกันในทุกยุคทุกสมัย กล่าวกันว่า คนเรานั้นเกิดมาเพื่อแสวงหาความรัก ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ไม่ว่าความรักนั้นจะเป็นความรักต่อต่างเพศ หรือเป็นความรักในเพศเดียวกัน ก็นับเป็นความรักเช่นกัน
ต้องเรียนให้ทราบกันก่อนว่า ในปัจจุบันนี้จิตแพทย์และนักจิตวิทยาทั้งหลาย ได้มีความเห็นที่ตรงกันว่า ความรักในเพศเดียวกัน เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เป็นความผิดปกติของจิตใจแต่อย่างใด แต่รูปแบบของความรักของคนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ก็ยังคงเป็นความรักของชายและหญิง ซึ่งย่อมแน่นอนว่า ในความคิดแล้วเรื่องอะไรก็ตามแต่... ชายหญิงมักจะคิดต่างกัน โดยเฉพาะเรื่องของสัมพันธภาพและความรักแล้ว กล่าวกันว่า ผู้ชายมาจากดาวอังคาร และผู้หญิงมาจากดาวพระศุกร์ ผู้ชายมีความรักแบบ 'อีโรติก' ในขณะที่ผู้หญิงมีความรัก 'โรแมนติก' ผู้หญิงต้องมีความรักก่อน จึงเกิดอารมณ์พิศวาส แต่ผู้ชายเมื่อมีความสุขสมจากบทพิศวาสแล้ว จะเกิดความรักในตัวของผู้หญิงที่มีความสุขด้วยมากขึ้น ผู้หญิงย่อมมีเซ็กซ์เพื่อตอบแทนความรัก แต่ผู้ชายบอกรักผ่านการมีเซ็กซ์
...การใช้ชีวิตคู่ จึงต้องอาศัยการปรับตัวเข้าหากัน และพบกันครึ่งทาง พยายามที่จะทำให้คนที่มาใช้ชีวิตคู่เข้าใจและมั่นใจในความรักที่มีต่อกัน ชีวิตคู่ของคนสองคนในระยะแรก จึงเปรียบได้กับดอกกุหลาบสีแดงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์พิศวาสที่ร้อนแรง มีความหลงไหลและรู้สึกถึงความดึงดูดใจของเพศตรงข้าม กามารมณ์ จึงเป็นสัมผัสรักที่จับต้องได้ในระยะแรกของสัมพันธภาพ การร่วมรัก จึงเป็นการบอกรักกันด้วยภาษากาย และเมื่อเกิดความสุขสมร่วมกันแล้วก็อาจจะเกิดการผูกพันทางใจร่วมด้วย
แต่ชีวิตคู่ที่มีความรัก ซึ่งผสมด้วยบทพิศวาสที่ร้อนแรงนั้น ต้องมีการพัฒนาต่อไป ชีวิตคู่ จึงจะสุขสม ราบรื่น และยืนยาว เพราะบทพิศวาสและความเสน่หานั้น เป็นความรักแบบหลงไหลได้ปลื้ม ซึ่งจะอยู่ไม่นาน คู่รักที่เข้าใจ จึงต้องพัฒนาชีวิตรักให้เป็น...ดอกกุหลาบสีชมพูที่สดใส เป็นความรักที่พัฒนามาจากความรักของหนุ่มสาวให้กลายเป็นความรักฉันท์เพื่อนที่เข้าใจกัน ไว้ใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เคารพนับถือซึ่งกันและกัน รวมทั้งให้อภัยในความผิดพลาดของกันและกัน ชีวิตคู่ที่รู้จัก ขอโทษ ขอบคุณ และให้อภัย ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ยืนเคียงข้างกันในทุกสถานการณ์อย่างมีสติ ย่อมเป็นชีวิตคู่ที่อยู่กันด้วยความรักความผูกพันที่พัฒนาจนเป็นชีวิตคู่ของมิตรแท้ที่จะเอื้อประโยชน์ให้แก่กัน โดยไม่เห็นแก่ตัว... แบบเพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจ ...และพัฒนาต่อไปจนเป็น เพื่อนคู่ชีวิต ซึ่งจะครองคู่กันด้วยความบริสุทธิ์ใจที่มอบให้แก่กัน ประดุจดอกกุหลาบสีขาวที่แสนจะบริสุทธิ์ นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนหวังและตั้งใจเอาไว้ว่า ขอให้ได้ประสบพบเห็นในชีวิตนี้
นักจิตวิทยากล่าวว่า ความรักของคนเรานั้น มีการแสดงความรักออกมา 5 วิธีคือ
1. ความรักแบบต้องการสัมผัส เป็นความรักที่มีการแสดงออกที่สัมพันธุ์กับความรู้สึกด้านร่างกาย ที่ต้องการได้รับสัมผัสที่อบอุ่น ได้อยู่ใกล้ชิดกันและมีการตอบสนองทางกายต่อกันและกัน
2. ความรักแบบโรแมนติก เป็นความรักที่มีความรู้สึกหลงไหล ที่รุนแรง รู้สึกว่าอีกฝ่ายดึงดูดใจอย่างมาก
3. ความรักแบบต้องการอยู่ร่วมกัน เป็นความรักที่ต้องการการมีส่วนร่วม แบ่งปันประสบการณ์ต่างๆ ต่อกัน ต้องการใช้เวลาอยู่ร่วมกันและทำตามคำขอร้องของคู่ของตน
4. ความรักแบบต้องการความแน่ใจ เป็นความรักที่ต้องการความมั่นคงทางใจ อยากให้คู่ของตนเข้าใจตนเอง ขณะเดียวกันก็พยายามเอาอกเอาใจอีกฝ่าย เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
5. ความรักแบบสัญญาใจ เป็นความรักที่มักเกิดหลังจากใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน จนเกิดการผูกพันเป็นสัญญาใจ ที่ต่างก็ยอมรับการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน และเป็นความรับผิดชอบที่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึกที่มั่นคงต่อกัน
รูปแบบของการแสดงความรัก 5 วิธีนั้น เป็นรูปแบบที่เสนอโดยคุณหมอผู้อำนวยการ สำนักโครงการสร้างเสริมสุขภาพระดับพื้นที่ของสถาบันส่งเสริมสุขภาพ โดยเรียบเรียง และแปลจากแบบทดสอบภาษาอังกฤษ ซึ่งน่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตคู่อย่างสุขสมและราบรื่น ไว้พิจารณาการแสดงความรักต่อกันให้สอดคล้องต่อความปรารถนาของคู่ชีวิต เพราะชีวิตคู่นั้น ต้องอยู่บนรากฐานของความรัก จึงจะยั่งยืน และสามารถครองชีวิตคู่กันไปจนถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร เป็นชีวิตคู่ที่เปี่ยมไปด้วย ความรักและความผูกพันที่มีต่อกัน...

ศิลปะในการทำให้หลงรัก

หัวข้อเรื่องที่ผมจะคุยให้ฟังในตอนนี้ ผมแปลมาจาก ภาษาอังกฤษว่า THE ART OF SEDUCTION ซึ่งถ้าแปลตรงๆ แล้วก็คงจะต้องเป็น ศิลปะในการทำให้หลงรัก นั่นเอง ทำไมหนอ การที่จะให้ใคร มารักเราสักคน นี่ต้องใช้กลยุทธ์ อะไรด้วยหรือ? บางครั้งรักแท้ ก็ต้องการเวลานะครับ!!




กลยุทธ์ในการพิชิตรักนี่ ไม่ใช่กลยุทธ์ในการนำพาสาวขึ้นเตียงนอนนะครับ แต่ผมจะเขียนถึงกลยุทธ์ที่คุณผู้ชายจะหาผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ชีวิตครับ คนที่จะเป็นแม่ของลูก และคนที่จะไหว้หลุมฝังศพคุณ ถ้าบังเอิญคุณ มีอันเป็นไปเสียก่อน ประเภทเจอกัน ชั่วค่ำคืนเดียวแล้วก็เป็นของกันและกันนั้น เขาไม่ได้เรียกว่า เนื้อคู่หรอกครับ จะเป็นก็แค่คู่นอนเท่านั้น.. และรับรองว่า ไม่ปลอดภัยอย่างเด็ดขาด
รักแท้ต้องการเวลา ในการพิสูจน์ใช่ไหมครับเพราะฉะนั้น กลยุทธ์แรกในการมัดใจสาว ก็คือ ความอดทน ความมานะพยายามเท่านั้น ที่จะทำให้คุณมัดใจสาวคนรักไว้ได้ ความมานะพยายามจะทำให้คุณ สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้ไม่ว่าจะ พ่อตา แม่ยาย สุนัขเฝ้าบ้าน คนใช้ ฯลฯ แต่ถ้าพยายามอดทนแล้วความรักก็ไม่คืบหน้าไปสักที ลองพิจารณาให้ถ่องแท้ดูว่าเธอคนนั้นที่คุณหมายปอง มีคนรักอยู่หรือเปล่า, มีชายหนุ่มอีกคนที่อาจจะหล่อกว่า รวยกว่า หรือหนุ่มกว่าคุณมาจีบอยู่ จนกระทั่งเธอไม่มีคุณอยู่ในสายตาของเธอ, เธอสวยงามมากจนหลงตัวเอง ว่าไม่รู้จะเลือกใครดี เนื่องจากตอนนี้มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ และพ่อม่าย มารุมตอมอยู่เป็นสิบๆ คน, เพิ่งจะโดนผู้ชายคนหนึ่งทิ้งไปหมาดๆ และบาดแผลยังคงค้างคาอยู่ในดวงใจเธอ ฯลฯ ถ้าแบบนี้ รอหาใหม่ดีกว่าครับ กลยุทธ์ข้อที่ 2 ก็คือ ความกล้าหาญ อดทนอย่างเดียวไม่พอครับ ต้องมีความกล้าหาญที่จะแสดงให้เธอและใครๆ รอบๆ ข้างเธอรู้ด้วยว่าคุณรักเธอ และรักเธอชนิดที่ต้องการได้เธอมาเป็นคู่ชีวิต ไม่ใช่คู่นอน หรือทางผ่าน เรื่องนี้ต้องประกาศให้ศัตรูทั้งหลายที่จะมาขวางทางรักให้เข้าใจ แต่ต้องกล้าหาญให้ ถูกที่ ถูกเวลา และเหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่ใช่เดินเข้าไปในบ้านเธอ โดยไม่ดูตาม้าตาเรือว่าตอนนั้น คุณพ่อและคุณแม่เธอกำลังเถียงกันอยู่ แล้วดันไปบอกว่า คุณรักลูกสาว แบบนี้ถ้าไม่โดนกระโถนปาศีรษะ ก็อาจจะโดนสั่งให้สุนัขเฝ้าบ้านกัดเอา จนหนีกระเจิงออกจากบ้านไม่ทัน ปัญหาอยู่ที่ว่า คุณจะกล้าหาญพอที่จะบอกเธอว่า ผมรักคุณหรือไม่ และจะบอกที่ไหนเท่านั้น เรื่องนี้ควรจะต้องหาทางสร้างบรรยากาศให้โรแมนติก เป็นส่วนตัว ในเวลาที่เธออารมณ์ดี และแน่นอน ไม่ใช่เวลาใกล้ช่วงนั้น ของรอบเดือนของเธอ ซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่จะหงุดหงิดมาก แสดงให้เธอเห็นว่า คุณรักเธอเต็มร้อย รักเธอด้วยหัวใจ และแน่นอนว่าห้ามคิดเด็ดขาดเรื่องที่เธอจะรู้ว่าคุณรักเธอหรือไม่ ไม่ว่าคุณจะตามเฝ้ารับส่ง รับทำงานแทน ซื้อของขวัญให้เป็นประจำ แต่ถ้าคุณไม่มีความกล้าพอที่จะบอกว่า ผมรักคุณแล้ว ระวังสุนัขเถื่อนมาคาบไปรับประทานเสียนะครับ รักแล้วต้องบอกว่ารัก... ห้ามอ้ำอึ้งหรืออมพะนำไว้เด็ดขาด บอกเธอว่า รัก แล้ว เธอไม่รับรัก นั่นมันเรื่องของเธอแล้ว ไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อย... เพราะอกหักดีกว่ารักไม่เป็น คิดเสียว่า เธอไม่รับรักเรา อีกหน่อยเธอไปหลงเสน่ห์จิ้งจอกหนุ่มตัวอื่นแล้วโดนหลอก ก็จะคิดถึงเราเอง ...เพียงแต่เมื่อเธอหวนกลับมา คุณจะรับของใช้แล้วหรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้าคิดว่า บริสุทธิ์ใจ ดีกว่า บริสุทธิ์กาย ก็รับเอาไว้เถิดครับ ถ้าทำไม่ได้ ก็รับไว้เป็นเพื่อนต่อไป ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เรื่องนี้ใครๆ ก็พลาดกันได้จริงไหมครับ กลยุทธ์ที่สาม ความรักคือการให้ และยินดีที่จะได้รับตอบ จริงอยู่ ความรักคือการให้ แต่คุณผู้ชายทั้งหลายจะต้องเข้าใจไว้นะครับว่า ให้อย่างเดียวไม่ได้ โลกนี้ทุกอย่างจะต้องพอดี มี ให้ ก็ต้องมี รับ ถ้าขืนคุณมัวแต่หน้ามืดตามัว ให้เธออยู่ข้างเดียว เธอก็จะคิดว่าคุณน่ะเป็นหมูในอวยแล้วเธอก็ไป "ให้" คนอื่นแทน เห็นมาหลายรายแล้วนะครับ คุณให้เธอไป ถ้าเธอให้ตอบกลับมาบ้างนั้นแหละครับ แสดงว่ามีความก้าวหน้าแล้ว แต่ถ้าให้ของขวัญแล้ว ให้ความรักแล้ว ให้ทุกอย่างแล้ว แต่เธอก็เฉย ผมว่าค่อยๆ ถอนตัวกลับมาก่อนดีกว่า ที่จะเสียใจในภายหลัง
และถ้าเธอให้อะไรคุณกลับคืนมาบ้าง ต้องแสดงความชื่นชม และยินดีที่ได้รับตอบนะครับ เพราะเมื่อมีมิตรจิตก็ต้องมีมิตรใจ คงไม่ต้องถึงขั้นที่ว่า ดีดีตอบ ชอบชอบแทน ร้ายร้ายแสน หรอกนะครับ และถ้าคุณเห็นว่า เธอคนนั้นที่คุณคิดจะรักหรือกำลังรักอยู่นั้น ด้อยคุณค่าเกินกว่าที่คุณจะเสียเวลาต่อไปแล้วละก็ วิธีการสลัดรักที่ดีที่สุดก็คือ ทำให้เสมือนว่าเธอเป็นคนทิ้งคุณไปหาคนใหม่โดยไม่ได้สนใจ กับความรักที่แสนจะบริสุทธิ์ของคุณเลยครับ ไปหลงเสน่ห์ความปากหวานของหนุ่มคนใหม่ โดยทิ้งคุณที่แสนจะเป็นคนดีในสายตาของคนรอบข้างไป กลยุทธ์ข้อที่สี่ คือ เปิดเผย ซื่อสัตย์ และจริงใจ ความเปิดเผย เป็นคนตรงไปตรงมา เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ผู้หญิงดีๆ ทั้งหลายพึงพอใจ มากกว่าความปากหวานแต่ลึกซึ้งซ่อนอะไรไว้ใต้รอยยิ้ม
นอกจากนี้ ความซื่อสัตย์อาจจะจริงที่ว่า รับประทานไม่ได้แต่เท่ นั้นเป็นสิ่งที่คนเราทุกคนควรจะมี แต่เชื่อเถิดครับว่าเมื่อถึงเวลาที่ผู้หญิง เขาจะตัดสินใจเลือกชาย 2 คนที่มารักเธอแล้ว เธอจะเลือกคนที่ซื่อสัตย์ก่อนเสมอ คุณจะจีบสาวให้สำเร็จ คุณต้องมีความจริงใจครับ ความจริงใจจะปรากฏอยู่บนสายตาของคุณทุกครั้งที่เจอะเจอกับเธอ แล้วเธอก็จะสัมผัสได้และรับทราบความรักที่จริงใจของคุณนั้น อาจารย์ที่ผมเคารพมากท่านหนึ่ง เคยสอนผมว่า จะทำอะไรให้สำเร็จอย่าลืมว่าต้องกระทำด้วยความ "จริงจัง จริงใจ ต่อเนื่อง เป็นระบบ และครบวงจร" ครับ พระคุณของท่านที่สอนผมในสูตรสำเร็จดังกล่าว ผมยังจำได้มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ท่าน ศ.น.พ.วิฑูร โอสถานนท์ เป็นคนสอนผมด้วยหลักการดังกล่าว และผมก็คิดว่าในการจะแสดงให้ใครสักคนหนึ่ง เห็นความจริงว่าเรารักเธอนั้น ต้องกระทำด้วยความจริงจังและจริงใจ ทั้งยังต้องกระทำอย่างสม่ำเสมอ เป็นระเบียบระบบมีแบบแผนอย่างชัดเจน รวมทั้งต้องครบวงจรด้วย คุณผู้อ่านทั้งหลายเป็นเหมือนผมไหมครับ กลยุทธ์ที่ 5 คือ มีความเชื่อมั่นและมองโลกในแง่ดี ความเชื่อมั่น ในวิถีทางดำรงชีวิตในภายภาคหน้านั้น จะแสดงออกจากการพูดจา ท่วงท่าเดินเหิน การวางตัว น้ำเสียงที่มั่นใจ ฯลฯ คุณต้องฝึกแสดงให้เธอเห็นครับว่า คุณเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองในการที่จะนำพาชีวิตคู่ของคุณ และเธอไปให้ตลอดรอดฝั่ง อย่าลืมเสียนะครับว่า ผู้หญิงเกิดมาแสวงหา ความรัก ความอบอุ่น และความมั่นคง คุณให้เธอได้ทั้งสามอย่าง ถ้าเธอไม่เลือกคุณ ผมว่าก็คงจะตาบอดตาใส หรือไม่ก็กรรมยังบังตาอยู่แล้วละครับ การมองโลกในแง่ดี จะช่วยให้คุณเป็นคนมีความสุข และการเป็นคนมีความสุขของคุณ จะทำให้เธอเกิดความอบอุ่นเมื่อใกล้ชิด กลยุทธ์ข้อที่ 6 เอาชนะอุปสรรคด้วยใจสู้ การพิชิตรักมีมากมาย ล้วนแล้วแต่ทำให้คนเราคิดจะเอาชนะอุปสรรคแทบทั้งสิ้น... คุณไม่คิดจะเอาชนะบ้างหรืออย่างไร การเข็นครกขึ้นภูเขานั้น แม้ว่าจะเป็นงานที่ยากแสนเข็ญ แต่ถ้าคุณทำได้ วันที่คุณขึ้นไปยืนบนยอดเขา เพื่อประกาศถึงชัยชนะแห่งความพยายามของคุณ ก็คือวันที่คุณและเธอเข้าสู่ประตูวิวาห์นั่นเอง

สูตรปรุงชีวิต

     แม้ใครๆ จะบอกว่า ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จ แต่เขาคนนี้บอกว่า เราทำชีวิตให้ได้ดีและมีสุขได้ พร้อมทั้งบอกถึงสูตรสำเร็จของชีวิต แม้กระทั่งการเลือกคู่ การเลือกลูก เราก็กำหนดสเปคได้ แต่ไม่ใช่สเปคทางโลกแบบเก่งและดี ต้องมีปัญญาและเข้าใจสัจจะของชีวิต
ถ้าคนที่เข้าใจชีวิต แม้จะเจออุปสรรคมากมายเพียงใด ก็สามารถยิ้มรับและหาทางออกให้ตัวเองได้ แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้เช่นนั้น



บางคนพูดคุยธรรมะได้งดงาม แต่ไม่ได้นำมาปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน บางคนฉลาดเข้าใจเรื่องทางโลก และรู้สึกว่า การเอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์เป็นเรื่องปกติในสังคม บางคนเข้าวัดเข้าวา
พูดคุยธรรมะประหนึ่งเข้าใจชีวิต แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่
อาจเป็นได้ว่า มนุษย์มองออกไปนอกตัว จึงมองไม่เห็นบางอย่างในตัวเอง
ลองมารู้จักกับ ดอกเตอร์ทางวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ดร.สนอง วรอุไร แม้จะร่ำเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ จบปริญญาเอก สาขาไวรัสวิทยา จากมหาวิทยาลัยลอนดอน แต่ในที่สุดก็หันมาศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง และพบว่าจิตของเรามีศักยภาพมากกว่าที่คิด สามารถพัฒนาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพียงแต่เราไม่รู้จักการพัฒนาจิต
เขาย้อนความว่า ตอนเรียนอยู่ที่อังกฤษ ต้องเรียนหนักมาก แต่พอฝึกจิตก็ส่งผลให้สามารถจดจำสิ่งต่างๆ ได้เร็วขึ้น และเข้าใจบทเรียนได้ง่ายขึ้น
เมื่อสามสิบปีที่แล้วเขาได้อุปสมบท และมีโอกาสฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับพระเทพสิทธิมุนี (โชดก ปธ.9 ) ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์เป็นเวลา 30 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขารู้สึกมีคุณค่าที่สุดในชีวิต ทำให้ชีวิตพบจุดเปลี่ยน
หลังจากนั้นดร.สนองเข้าเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จนเกษียณอายุราชการ และหันมาเป็นครูบาอาจารย์ทางธรรม เดินสายบรรยายธรรมตามที่ต่างๆ ด้วยความเมตตาประกอบกับความเข้าใจชีวิตและธรรมะอย่างลึกซึ้ง สิ่งที่เขาบรรยายจึงมีคุณค่า สามารถจุดประกายความคิดให้หลายๆ คนนำมาใช้ในชีวิต
จนลูกศิษย์รวมกลุ่มกันตั้งเป็นชมรมกัลยาณธรรม ช่วยเผยแพร่ผลงานของเขาออกมาเป็นหนังสือหลายเล่มด้วยกัน อาทิ ทางสายเอก (เล่มนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ชาวต่างชาติได้มีโอกาสศึกษาประสบการณ์การปฏิบัติธรรม) การใช้ชีวิตที่คุ้มค่า อัญมณีของชีวิต ฯลฯ
ล่าสุดทางสำนักพิมพ์อมรินทร์ ได้เปิดตัวหนังสือ ทำชีวิตให้ได้ดีและมีสุข ของดร.สนอง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนฟังเกือบเต็มหอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์
1. “ถ้าทำร่างกายให้แข็งแรง เราต้องรักษาใจให้ได้ จริงๆ แล้วความรู้เหล่านี้มีมานานแล้ว ถ้ามีสุขภาพจิตดี กายก็จะดีไปด้วย ดร.สนอง เริ่มเล่าให้ญาติโยมและผู้สนใจฟัง จากตัวอย่างของเขาเองปัจจุบันอายุ 68 ปี ยังแข็งแรงและดูอ่อนกว่าวัย เพราะหมั่นฝึกดูใจตัวเองตลอดเวลา
เขาเล่าว่าในยุคที่บุกเบิกมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ต้องทำงานหนัก จนเป็นโรคกระเพาะ หลังจากฝึกจิตที่วัดมหาธาตุ ก็ค้นพบว่า โรคพวกนี้มาจากความเครียด หลังจากเรียนรู้เรื่องการฝึกจิตสมาธิผ่านมา 30 ปี ไม่เคยป่วยเป็นโรคอะไรเลย
เขาได้เขียนไว้ในหนังสือว่า ถ้าเราสามารถรักษาสมดุลของธาตุทั้งสี่ในร่างกายได้ โรคภัยไข้เจ็บก็จะไม่เกิด อย่างคนขี้หนาวต้องดื่มน้ำเยอะๆ ในทางวิทยาศาสตร์น้ำคือ ตัวเก็บความร้อน
ดร.สนองย้อนความถึงสมัยเรียนลอนดอนว่า เคยป่วยไม่สบายเพราะทำงานหนัก ตอนนั้นเป็นไข้หวัดใหญ่และอาจตายได้ ก็พยายามขอนัดแพทย์ เพราะอยู่ที่นั่นไม่สามารถซื้อยารับประทานเองได้ ต้องมีใบสั่งแพทย์ แต่วันนั้นแพทย์ไม่มีคิวให้ เราก็ต้องรอวันรุ่งขึ้น
วันนั้นผมจึงรักษาตัวเองไปก่อน ไปนอนแช่น้ำอุ่น ปรากฏว่าอาการป่วยหาย ไปหาหมอในวันรุ่งขึ้น ไม่มีไข้เลย คนโบราณพูดถึงธาตุทั้งสี่ไว้คือ ดินน้ำลมไฟ ถ้าร่างกายมีสมดุลก็จะแข็งแรง แต่ถ้าเมื่อใดธาตุไหนหย่อนก็มีปัญหา อย่างการกินอาหารไม่สะอาด ก็ต้องกินน้ำเข้าไปเยอะๆ เราต้องรู้จักร่างกายตัวเอง
เขายกตัวอย่าง และเล่าถึงสมัยหนุ่มๆ ว่า เคยรับประทานไข่วันละฟอง จนมีปัญหาต้องไปพบแพทย์ ปัจจุบันหันมากินไข่ได้อีก ทั้งๆ ที่ตอนนี้อายุ 68 ปี เพราะเราหมั่นสังเกตตัวเอง ถ้ามึนศีรษะเมื่อไหร่ก็จะหยุดทันที เพราะร่างกายเตือนเราล่วงหน้า
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งรับประทานไข่วันละ 10 ฟอง แต่เจอกันวันสุดท้ายที่งานศพ อย่างเวลาผมกินไข่ ถ้ามีอาการมึนศีรษะเมื่อไหร่ก็หยุด อีกอย่างถ้ารู้ว่าไขมันในเลือดสูง ก็อาจจะดื่มน้ำดอกคำฝอย บอระเพ็ด เติมน้ำร้อนแล้วดื่ม เพื่อให้ร่างกายสมดุล ก่อนอื่นต้องตั้งโปรแกรมจิตไว้ว่า ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ปวดศีรษะ แต่ผมคิดว่า
อายุเท่าไหร่ไม่สำคัญขอให้อยู่เพื่อทำประโยชน์ให้สังคม
เขาย้ำอีกว่า แม้กระทั่งการตายก็มีสัญญาณเตือน อยู่ที่ว่าใครจะระลึกได้ทัน
2. นอกจากหลักการดูแลตัวเองง่ายๆ คือ การฟังเสียงร่างกาย หมั่นสังเกตตัวเองแล้ว เราก็ต้องมีสติและเข้าใจหลักการของธาตุทั้งสี่ และตั้งโปรแกรมจิตว่า จะไม่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ย่อมทำได้
แม้หลายคนจะค้านอยู่ในใจว่า สามารถทำได้จริงหรือ ดร.สนอง บอกว่า ต้องรู้จักคิดในแง่บวก คำว่า ไม่มี ไม่ได้ ไม่เกิด อย่าได้มาเกิดกับเขาเลย
และเรื่องน่าคิดอีกอย่าง ก็คือ คนที่มีธรรมะในใจจะทำงานด้วยตัวเองอย่างมีความสุข ไม่ชี้นิ้วให้คนอื่นทำแทน การทำงานด้วยตัวเองก็เพื่อให้ร่างกายได้ออกกำลังกาย คนที่มีธรรมะจะไม่เกี่ยงงาน จะทำงานด้วยใจอย่างมีความสุข อย่างน้อยๆ ต้องหัดเดินออกกำลังกายวันละสามสิบนาที อย่าอยู่เฉยๆ
ถ้าจิตไม่นิ่ง คลื่นสมองจะเปลี่ยนดร.สนอง ย้ำและยกตัวอย่างตัวเขาเอง หลังจากศึกษาธรรมะแล้วมีความจำดีกว่าตอนหนุ่มๆ และเวลาบรรยายธรรม เขาจะไม่อ่านตำรับตำรามากมาย แต่จะทำใจให้สงบนิ่งเพื่อดึงศักยภาพในตัวเองมาใช้ ไม่ว่าจะข้อมูลที่สะสมในชีวิตหรือความเข้าใจชีวิต เพราะความเป็นจริงแล้ว จิตของเราสั่งสมข้อมูลแต่ละภพแต่ละชาติไว้ เพียงแต่เราจะระลึกได้หรือไม่
ปัจจุบันคนเราใช้ศักยภาพของพลังจิตเพียงแค่ 7% ด้วยเหตุผลนี้เอง คนที่ฝึกสติอย่างเชี่ยวชาญก็จะใช้ประโยชน์ทำงานได้เต็มที่ แต่เมื่อใดจิตว้าวุ่น ปัญญาก็จะไม่เกิด
ผมเคยบอกเพื่อนว่า ถ้ามีปัญหา ขอให้ลองอยู่นิ่งๆ สักพัก ปัญญาก็จะเกิด
นอกจากนี้การฝึกสมาธิง่ายๆ ยังมีอีกมากมาย แม้แต่การฟังเพลงคลาสสิกก็สามารถสร้างสมาธิได้ ขอให้มีสติกำหนดรู้เท่าทันอิริยาบทปัจจุบัน การร้องเพลงในโบสถ์ก็เป็นอีกวิถีหนึ่งของการเข้าสู่ความสงบ ทิเบตก็มีดนตรีประกอบพิธี หรือดนตรีอินเดีย (พูดถึงดนตรี ก็เลยร้องเพลงให้ฟัง)
การสวดมนต์ ก็เป็นการเข้าสมาธิอย่างหนึ่ง ถ้าเรามีใจจดจ่อ ไม่ได้เอากิเลสเข้าไปปรุงแต่งก็จะได้สมาธิ
ปกติผมจะบอกคนอื่นๆ ว่า อย่าเชื่อผม ให้ดูตามเหตุผล อย่างบางคนศรัทธามาก แต่ปัญญาไม่เกิด ผมว่าสติต้องพัฒนา
3. การเข้าถึงศักยภาพของตัวเราเอง อาจเป็นเรื่องยากในความรู้สึกบางคน แต่สำหรับดร.สนองแล้วดูเหมือนไม่ใช่เรื่องยาก เขาย้ำว่า ถ้ากายแข็งแรงต้องเคลื่อนไหวตลอด แต่จิตต้องสงบนิ่ง ยิ่งคนเราขี้เกียจมากเท่าไหร่ ก็จะมีพลังน้อย
หันมาพูดเรื่องการกำหนดสเปคให้ชีวิต ดูท่าจะสนุกกว่า เขาบอกว่า การเลือกคู่มีสองแบบคือ คู่สร้างคู่สมและคู่เวรคู่กรรม อย่างคู่สร้างคู่สมคือ คู่ที่เคยผูกพันกันทำกุศลกรรมร่วมกันมานาน และได้มาเกิดในสถานภาพใกล้เคียงกัน ส่วนคู่เวรคู่กรรมคือ คู่ที่เคยเป็นศัตรูหรืออาฆาตจองเวรกันมาในชาติก่อน แล้วมาเกิดเป็นคู่กัน
แล้วเราจะเลือกคู่แบบไหนดีล่ะ
เขาบอกว่า เป็นเรื่องต้องพิถีพิถัน ไม่ต่างจากเวลาเราซื้อของ ก็ต้องกำหนด สเปค แต่ถ้าคุณวางสเปคไว้ว่าต้องไอคิวสูง (ความฉลาดทางปัญญาความคิดที่เกิดจากการคิดมากฟังมาก) อีคิวสูง(ความฉลาดทางอารมณ์) และเอสคิว (ความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ ไม่ตกเป็นทาสของสรรพสิ่ง)
ถ้าคุณกำหนดสเปคว่า ต้องดีทั้งสามอย่าง ดร.สนองว่า ชาตินี้คุณไม่ได้แต่งงาน ถ้าเป็นเช่นนั้น เราต้องปรับตัวก่อนทำจิตทำใจให้มีศีลมีธรรม ถ้าจะเลือกคนมาเป็นคู่ ไม่จำเป็นต้องไอคิวสูงก็ได้ ขอให้เป็นคนดีคือ มีอีคิวสูง
ก่อนอื่นต้องรู้จักพัฒนาจิตใจตัวเอง คือ ส่องกระจกดูใจ เพราะทุกวันนี้เราออกจากบ้าน เราจะดูว่า แต่งตัวเหมาะสมไหม แล้วเราเคยดูใจของตัวเองไหม
บางคนปฏิบัติธรรมมานาน แต่ธรรมะไม่ได้เข้าไปอยู่ในใจ ก่อนอื่นต้องดูที่ใจ แล้วแก้ที่ตัวเองก่อน คนอื่นเป็นครูของเรา อย่างชาวตะวันตกเวลาสอนให้คนดูต้นไม้ สัตว์หรือธรณีวิทยา ก็จะศึกษาข้างนอก ไม่ได้ศึกษาด้านใน
เมื่อพูดถึงชีวิตด้านใน มีคนถามถึงเรื่องการสวดมนต์ที่ไม่รู้คำแปลจะมีประโยชน์อย่างไร ดร.สนองบอกว่า คนจำนวนมากสวดมนต์เพื่อให้จบเร็วๆ นั่นก็ได้สมาธิ แต่ไม่มาก แต่ควรสวดด้วยใจ ถ้าให้ดีก็ควรรู้ความหมาย บางบทก็จะได้แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ไปด้วย
ความเมตตาถ้าเราส่งคลื่นจิตออกไปตรงกัน เขาก็รับรู้ได้ มันอยู่ที่คลื่นส่งของเราด้วย
ในวงสนทนาก็มีคำถามมากมายที่หลายคนสงสัย แต่ดร.สนองสามารถตอบปริศนาได้บางส่วนเท่านั้น เพราะเวลาค่อนข้างจำกัด ยิ่งถ้าถามว่า ระหว่างการให้ทาน ถือศีล และปฏิบัติสมาธิภาวนา อันไหนจะได้บุญกุศลมากที่สุด
เขามีคำตอบว่า การภาวนาเพื่อพัฒนาจิต น่าจะเป็นแนวทางเพื่อให้มนุษย์ไปสู่จุดมุ่งหมายคือ ปัญญา เพราะถ้าเข้าสมาธิ เพื่อขจัดอารมณ์ปรุงแต่งได้ ย่อมเป็นเรื่องดี และสมาธิไม่จำเป็นต้องนั่งอย่างเดียว ทำได้ทุกอิริยาบท เพื่อให้เกิดปัญญาขจัดกิเลส และช่วยเหลือคนอื่นได้
แม้จะเป็นฆราวาสก็สามารถบรรลุธรรมได้เช่นกัน เมื่อก่อนเขาเองก็ไม่เชื่อ จนเข้าถึงอภิญาณ และหากบวชเป็นพระสงฆ์ คงพูดเรื่องพวกนี้ไม่ได้
นี่เป็นบางส่วนที่ดร.สนองเล่าให้ฟังวันนั้น เขาพยายามเน้นย้ำเรื่องการฝึกสติอย่างเข้าใจ ถ้ามีศรัทธาก็ต้องมีปัญญาด้วย อย่างน้อยๆ ก็ต้องหัดเจริญสติไปเรื่อยๆ อย่าหวังว่าจะได้ญาณหรือเห็นนิมิต
ลองหันมาพัฒนาจิตเพื่อจะได้ไม่เป็นทาสของกิเลส ตัณหา และรู้จักกำหนดชีวิตตัวเองอย่างคนที่มีปัญญา นั่นก็จะเป็นจิ๊กซอว์ช่วยเหลือคนอื่นต่อไป

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

เสน่ห์

เสน่ห์ทางกาย

เป็นเสน่ห์ที่เน้นพลังฝ่ายดึงดูดมากกว่าอย่างอื่น เช่นเห็นแล้วดึงดูดให้อยากมองนานๆ ยากจะถอนสายตา หรือกระทั่งอยากถลาเข้าไปลองสัมผัสให้ได้เดี๋ยวนั้น
เสน่ห์ทางกายปรากฏเด่นเห็นง่ายสุด จับต้องได้ง่ายสุด เพราะกายมนุษย์เปล่งประกายเสน่ห์ได้ผ่านความสมส่วนแห่งรูปพรรณสัณฐาน ตลอดจนความผ่องใสมีสง่าราศีแห่งผิวพรรณ ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาหรือพิธีรีตองใดๆ ในการเปล่งประกายเสน่ห์ชนิดนี้ แค่ปรากฏตัวก็ใช้ได้แล้ว



ความเปล่งปลั่งชนิดบาดตาได้ตั้งแต่แรกพบนั้น เป็นผลอันเกิดจากการให้ทานที่ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างแรงกล้า ไม่มีความขัดข้องทางใจเท่ายองใย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีโอกาสถวายทานแด่พระพุทธเจ้าหรืออริยะสงฆ์สาวก แล้วรักษาความเลื่อมใสนั้นไว้ได้ตลอดชีวิต ก็จะมีความรุ่งเรืองปรากฏชัดทางผิวหนังตั้งแต่ในชาติแห่งทานนั้น แล้วปรากฏชัดเจนในชาติถัดมา ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมนุษย์
ความสมส่วนแห่งรูปพรรณสัณฐานจะเกิดจากความมีศีลสะอาดเป็นหลัก รายละเอียดและมิติของรูปร่างหน้าตาที่ล่อตาชวนตะลึง กลิ่นกายที่น่าพิสมัย ตลอดจนความละเอียดน่าสัมผัสของผิวหนังที่เหมาะกับเพศนั้น บันดาลขึ้นจากความสามารถในการ งดเว้นความประพฤติทางกายและวาจาอันสกปรกเน่าเหม็นจนเคยชิน กระทั่งแม้ความคิดก็ไม่หลุดออกนอกกรอบของศีล พูดง่ายๆ ว่าเป็นผู้เคยมีศีลอันมั่นคงแข็งแรง จิตสะอาดสะอ้านจากมลทินยิ่ง จึงบันดาลให้เกิดผลงดงามไร้ที่ติ กระทบตาผู้คนแล้วชวนหลงไหลยิ่ง
คนที่ไม่ค่อยทำบุญกับบุคคลศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ่อยๆ มักมีอำนาจเสน่ห์ทางกายน้อย เนื่องจากโอกาสที่จิตจะเปล่งประกายความเลื่อมใสอย่างแรงกล้าขณะทำบุญนั้นยากนัก

เสน่ห์ทางวาจา

เป็นเสน่ห์ที่มีพลังฝ่ายประทับมากกว่าอย่างอื่น เช่น ฟังพูดแล้วติดหูไม่รู้ลืม ราวกับพลังเสียงและสำเนียงพูดบุกรุกเข้ามาฝังตัวและกลอกกลิ้งอยู่ในแก้วหูคนฟังได้ พอห่างกันแล้วถวิลถึงราวกับโดนเสน่ห์ยาแฝด
เสน่ห์ทางวาจาจะแผลงฤทธิ์เต็มที่ต่อเมื่อผู้พูดมีโอกาสฉายไม้เด็ดสักประโยคสองประโยค การโอภาปราศรัยทักทายเพียงคำสองคำอาจจะยังไม่ได้ผลนัก แต่หากได้ช่องสำแดงเดชเต็มกำลัง เสน่ห์ทางวาจาก็อาจชวนให้หวนคิดถึงได้ยิ่งกว่าเสน่ห์ทางกายมาก เนื่องจากความทรงจำเกี่ยวกับส่ำเสียงและถ้อยคำจะยืนยาวกว่าความทรงจำเกี่ยวกับรูปลักษณ์
เสน่ห์ทางวาจาที่หยิบยกมาเป็นตัวอย่างเห็นภาพง่ายที่สุดคงได้แก่วิธีรบเร้าหรือวิธีตื๊อของแต่ละคน บางคนตื๊อแล้วน่ารัก แต่หลายคนตื๊อแล้วน่ารำคาญ ทั้งที่ก็เป็นการรบกวนผู้ฟังเหมือนๆ กัน นี่ก็เพราะบางคนเท่านั้นที่มีพลังเสน่ห์ทางวาจา ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่มี
เสน่ห์ทางวาจามีองค์ประกอบหลายส่วน ซึ่งแต่ละส่วนก็เกิดจากกรรมเกี่ยวกับวาจาทั้งในอดีตและปัจจุบันรวมกันทั้งสิ้น องค์ประกอบหลักของเสน่ห์ทางวาจาจำแนกได้เป็น ๓ ส่วนดังนี้
) ความไพเราะของแก้วเสียง เกิดขึ้นจากความเป็นผู้มีวาจาสุจริต ทั้งพูดเรื่องจริงเท่าที่ควรพูด เลือกคำที่ฟังรื่นหูไม่หยาบคาย หาวิธีพูดประนีประนอมไม่เสียดสีใคร ตลอดจนครองสติในการพูดเพื่อประโยชน์ได้เสมอ องค์ประกอบหลักเหล่านี้จะปรุงแต่งแก้วเสียงให้ฟังดี ฟังเย็น และฟังมีพลังสะกด ถ้ายิ่งหมั่นสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญ ตลอดจนเปล่งเสียงประกาศธรรมอันชอบโดยไม่เคอะเขิน แก้วเสียงก็จะเปล่งประกายสดใสเพราะพริ้งได้ตั้งแต่ชาติปัจจุบัน และไปปรากฏผลชัดที่สุดในชาติถัดมา น้ำเสียงและสำเนียงจะกลมกล่อมไม่บาดหูเลย (เว้นไว้แต่จะหลงผิด พูดจาเป็นอัปมงคลนานปีจนกำลังของวจีทุจริตใหม่ชนะกำลังของวจีสุจริตเก่า)
) ลูกเล่นในการจำนรรจา เกิดขึ้นจากความเป็นผู้ใส่ใจเจรจาให้น่าเอ็นดู เป็นที่ถูกใจ ทำความบันเทิงสดใสแก่ผู้ฟัง ยกตัวอย่างเช่นพวกชอบเล่านิทานให้เด็กฟัง ด้วยความหวังว่าเด็กจะได้สนุกสนาน ได้ข้อคิด และได้มองโลกในแง่ดีมีความอบอุ่น กรรมอันเกิดจากการฝึกเล่านิทานจริงจังจะบันดาลให้เกิดสัญชาตญาณในการมัดใจด้วยลีลาพูด คือรู้เองว่าด้วยลูกเล่นการออกเสียงสั้นยาว ลงเสียงหนักเบา ตลอดจนควบกล้ำอย่างไรให้ฟังน่ารักน่าใคร่ ชัดถ้อยชัดคำ พวกนี้ถ้าทำงานพากย์จะประสบความสำเร็จง่ายมาก และอาจจะไม่ต้องร่ำเรียนที่ไหนก็เก่งได้ยิ่งกว่ามืออาชีพที่คร่ำหวอดมานมนาน
) ความฉลาดเลือกคำ เกิดขึ้นจากความเป็นผู้คิดก่อนพูด ใช้สติในการง้างปากที่อ้ายาก ไม่ใช่ปล่อยให้อารมณ์บงการปากที่ไร้หูรูด ธรรมชาติของสตินั้น ยิ่งฝึกฝนให้เพิ่มมากขึ้นเท่าใด ปัญญาก็จะยิ่งทวีขึ้นเท่านั้น
คนที่ไม่ค่อยใส่ใจกับการพูดนั้น นอกจากจะขาดเสน่ห์ทางวาจาแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดข้อน่ารังเกียจได้มากมาย เช่นคนพูดส่อเสียดและใส่ไคล้ผู้อื่นบ่อยๆมักมีกลิ่นปากเหม็นเน่า คนติดพูดคำหยาบคายกระโชกโฮกฮากมักมีสำเนียงเสียงไม่รื่นหูไม่ชวนฟัง เป็นต้น

เสน่ห์ทางกระแสจิต

เป็นเสน่ห์ชนิดที่มีพลังชะโลมได้มากกว่าอย่างอื่น เช่น แค่เข้าใกล้รัศมีใครบางคนคุณก็รู้สึกเยือกเย็น หรือกระทั่งเกิดความเงียบสงัดไร้ความคิดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม กระแสจิตของบางคนอาจเปี่ยมด้วยอิทธิพลแห่งพลังดึงดูดและพลังประทับได้ยิ่งกว่าเสน่ห์ทางกายกับวาจารวมกันเสียอีก หากคุณเคยมีประสบการณ์ผ่านพบใครบางคน ที่คุณอยู่ใกล้ๆแล้วเกิดความอยากอยู่ใกล้ เมื่อห่างไปก็ถวิลถึง แม้รูปร่างหน้าตาของเขาไม่จัดว่าเลอเลิศ กับทั้งถ้อยทีเจรจาก็งั้นๆ นั่นแหละครับตัวอย่างของคนมีเสน่ห์ทางกระแสจิตขั้นรุนแรง
เสน่ห์แห่งกระแสจิตนั้น เป็นสิ่งเห็นไม่ได้ด้วยตา จับต้องไม่ได้ด้วยมือ ทว่าง่ายที่จะสัมผัสด้วยใจ และแม้คุณพบเจอจังๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่าในเมื่อไม่เคยมีใครขอให้คุณอธิบาย คุณเลยไม่เคยฝึกจำแนกแยกแยะว่ากระแสจิตมีกี่ชนิด แต่ละชนิดมีพลังเสน่ห์จับใจได้แตกต่างกันสักแค่ไหน
จิตมนุษย์ที่กระจายออกมาให้สัมผัสได้นั้น มีกระแสพลังจากแหล่งต่างๆได้หลายหลาก อาทิเช่น พลังความคิด พลังจากมหากุศลที่ประกอบแล้ว พลังความสว่างทางปัญญาที่รู้ชอบในธรรมะ พลังสุขภาพ พลังของหน้าที่ พลังของอิทธิพลต่อหมู่คน พลังของที่อยู่อาศัย พลังของพาหนะส่วนตัว พลังของอัญมณี พลังของสัตว์ที่ผูกพันแน่นเหนียว พลังไสยศาสตร์ ตลอดไปจนกระทั่งพลังของเทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกันในทางใดทางหนึ่ง โดยย่นย่อกระแสจิตจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวิธีมีตัวตนของแต่ละคน
ผมอาจแจกแจงที่มาที่ไปและชนิดของเสน่ห์ทางกระแสจิตอย่างละเอียดเป็นหนังสือเล่มหนึ่งได้โดยเฉพาะ แต่ในที่จำกัดนี้คงกล่าวเพียงสังเขปในแง่ วิธีคิดอันเป็นต้นตอเสน่ห์ทางกระแสจิตเพราะเสน่ห์ทางกระแสจิตของมนุษย์ธรรมดาจะเป็นไปตามวิธีคิด สายความคิดของมนุษย์ทั่วไปจะไม่ค่อยขาดสาย จึงปรุงแต่งให้จิตเป็นไปต่างๆนานาได้มากกว่าปัจจัยอื่น

ขอยกเฉพาะวิธีคิดหลักๆที่ก่อรัศมีจิตอันเป็นเสน่ห์ดังนี้

) ความคิดเป็นเส้นตรงไม่หมกมุ่นวุ่นวน คือมีเป้าหมายปลายทางของความคิดชัดเจน มีลำดับที่จะไปให้ถึงจุดหมายอย่างแน่ชัด หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกราบรื่น ไม่วกวน และอยู่ใกล้คุณนานๆ อาจพลอยเกิดคลื่นความคิดเป็นระเบียบตามไปด้วย
) ความคิดที่เบากริบหรือเงียบเชียบ คือคิดเท่าที่จำเป็น สามารถเว้นวรรคความคิดเพราะรู้จักเสพสุขกับสิ่งอื่น เช่นภาพแมกไม้ เสียงน้ำตก หรือกระทั่งเฝ้าสังเกตการเข้าออกอย่างเรียบง่ายตามธรรมชาติของสายลมหายใจตนเอง หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกผ่อนคลายไม่อึดอัด อยู่ใกล้คุณอาจพลอยสงบผาสุกตามไปด้วยชั่วครู่ และหากคลุกคลีใกล้ชิดกับคุณนานพอ กลุ่มความคิดที่หนาแน่นของเขาอาจพลอยเบาบาง กลายเป็นคนไม่คิดมากตามคุณไปด้วยอย่างถาวร
) ความคิดมองโลกในแง่ดี คือมีมุมมองของความหวังด้านบวกเสมอ จึงเชี่ยวชาญในการสร้างทางออก ขณะที่คนทั้งโลกเชี่ยวชาญในการพาตัวไปสู่ทางตัน หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกสว่างไสว ไม่มืดมน และอยู่ใกล้คุณนานๆอาจพลอยเกิดแรงบันดาลใจและความหวังใหม่ๆ ตามไปด้วย
) ความคิดเผื่อแผ่พร้อมจะเสียสละ คือมีความอยากให้มากกว่าอยากเอา สามารถเป็นผู้ริเริ่มในการให้ โดยไม่จำเป็นต้องคำนวณเสียก่อนว่าจะได้รับสิ่งใดเป็นผลตอบแทน หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ เห็นคุณเป็นที่พึ่ง (ขอให้ทราบว่าความเป็นที่พึ่งกับความเป็นคนรับใช้นั้นต่างกันนิดเดียว ระหว่างให้แบบใจอ่อนยินยอมไปหมด กับให้แบบใจดีมีความน่าเกรงใจ ศิลปะของการให้อย่างหลังจะมีเสน่ห์ ขณะที่การให้อย่างแรกจะดูไร้ค่าหรือถึงขนาดน่ารังแก)
) ความมีใจเอ็นดูไม่คิดประทุษร้าย คือไม่แม้แต่จะแอบด่า แอบสาปแช่งคนหรือสัตว์ที่ตนเกลียด แต่มีเหตุผลบอกตนเองเสมอว่าทำไมจึงควรให้อภัย เห็นกระจ่างที่มาที่ไปอันน่าเห็นใจของคนแสนเลวสักคน หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่หวาดระแวง และบังเกิดความปรารถนาดีต่อคุณ หากเกลียดหรือคิดทำร้ายคุณได้แปลว่าต้องมีใจพาลสันดานหยาบเอาเรื่องทีเดียว
) ความคิดมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวไม่ท้อแท้ คือแม้พบอุปสรรคก็ไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็น เพราะคิดหาทางรุกคืบไปข้างหน้าเข้าหาเส้นชัยหรือทางออกจากปัญหา ทำอะไรทำจริง พูดอะไรแล้วทำอย่างที่พูด ตั้งใจอะไรแล้วไม่ล้มเลิกง่ายๆ หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงพลกำลัง ความเข้มแข็งไม่อ่อนแอ ความคมคายไม่ทื่อมะลื่อ เต็มไปด้วยความก้าวหน้าพัฒนาสู่ความสำเร็จลุล่วง
) ความคิดยับยั้งชั่งใจ คือแม้พบสิ่งยั่วยุให้ละโมบโลภมาก ก็ระงับความทะยานอยากเสียได้หากเห็นว่าไม่ถูกไม่ชอบ หรือแม้พบสิ่งยั่วยุให้พยาบาทอาฆาตแค้น ก็ระงับความหุนหันพลันแล่นอยากโต้ตอบด้วยความรุนแรงเสียได้ หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงขันติ ความอดทนทางใจ
) ความคิดไม่เข้าข้างตัวเอง คือไม่หลงตัว ไม่ปกป้องตัวเอง เป็นคนดีจริงด้วยการรู้ตัวว่ายังมีจุดบอดหรือข้อเสียอันใดอยู่บ้าง ไม่ใช่ดีจริงด้วยการประกาศว่าข้าดีพร้อม ข้าทำอะไรไม่ผิดสักอย่าง ไม่คิดเข้าข้างตัวเองแม้ผิดพลาดทำชั่วบ้าง ก็มีระดับมโนธรรมสูงพอจะสำนึกผิดได้ด้วยตนเอง หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงสำนึกอันดีงามของมนุษย์ กระแสความสำนึกผิดและการรับผิดชอบอย่างอาจหาญจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นกล้าที่จะสำนึกผิด แล้วก็ไม่ต้องขัดแย้งกับตนเอง ไม่ต้องเกลียดตนเองด้วยกำแพงปกป้องตนเองอันน่ารังเกียจ
) ความคิดที่รื่นรมย์เบาสมอง คือความสามารถมองแง่ร้ายให้กลายเป็นตลกได้ หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังดึงดูดใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกพร้อมจะมีอารมณ์ขัน นึกสนุก ไม่เคร่งเครียด เต็มไปด้วยความรื่นเริงบันเทิงใจตามไปด้วย
๑๐) ความคิดแบบผู้ชนะที่มีน้ำใจนักกีฬาและความปรานี ไม่มีใครอยากยืนอยู่ข้างคนแพ้ ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครอยากอยู่ใต้อำนาจคนชนะที่เหลิงหลงและหมิ่นศักดิ์ศรีผู้อื่น ผู้ชนะอาจอยู่ในเกมกีฬา เกมธุรกิจ ตลอดจนกระทั่งเกมกิเลส คือถ้าเอาชนะกิเลสยากๆของตนเองได้ก็จัดเป็นผู้ชนะได้เหมือนกัน และเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ด้วย หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังดึงดูดใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกหลงใหลมนต์เสน่ห์อันโดดเด่นจับตาจับใจได้ง่าย
วิธีคิดแบบอันเป็นตรงข้ามกับที่กล่าวมาข้างต้น จะบั่นทอนเสน่ห์ลง กล่าวคือกระแสความคิดจะเป็นแบบผลักไสให้ออกห่าง (ตรงข้ามกับพลังดึงดูดใจ) หรือแบบไม่ประทับลงในความทรงจำ (ตรงข้ามกับพลังประทับใจ) หรือแบบระคายเคือง (ตรงข้ามกับพลังชะโลมใจ) เช่นต่อให้มีเสน่ห์ทางกายและเสน่ห์ทางวาจา แต่ถ้าคิดฟุ้งซ่านมากๆเป็นนิตย์ ก็จะก่อคลื่นรบกวนคนใกล้ชิดให้ปั่นป่วนตาม อึดอัดที่จะต้องอยู่ใกล้ชิดนานๆ เป็นต้น

Updates Via E-Mail